การสอนตรง และ การเอื้ออำนวย (Direct Teaching and Learning Facilitation)

ความเป็นผู้ใหญ่ อาจทำให้เราเผลอแนะนำ-สั่งสอนตามความคิดเห็นของเรา ส่วนความเป็นเด็กในตัวเรา จะช่วยให้เราเปิดรับความเป็นไปได้ใหม่ ๆ เป็นอิสระจากความคาดหวัง มีใจที่เป็นกลาง เกิดทางเลือกเพิ่มเติม
 
วันนี้ ขอนำเสนอการเรียนรู้ 2 แบบ เพื่อให้เกิดทางเลือก ว่าเราจะสร้างการเรียนรู้เพื่อใคร ในบริบทไหน อย่างไรจึงจะเหมาะสม
 

แบบที่ 1 สอนตรง - ทฤษฎีเอ็กซ์ (X-theory)

เมื่อเรามองว่าเขาต้องได้รับความรู้โดยตรงจากเรา เราจึงสอนเขาไปตรง ๆ โดยมีแนวทาง ดังนี้
 
  1. สอนวิธีทำ แจกแจงเป็นขั้นเป็นตอน
  2. สอนวิธีคิด เล่าเรื่อง แบ่งปัน Trick ในการทำงาน พร้อมเหตุผล เพื่อให้เกิดการเรียนรู้วิธีคิด
  3. สอนวิธีเรียน ให้ช่องทางในการทบทวน หรือศึกษาเพิ่มเติม รวมถึงช่องทางในการสอบถามเพิ่มเติมได้
 
ข้อควรระวังของวิธีนี้ คือ อำนาจเหนือ (Power Over) หมายถึง การวางตัวเหนือกว่าผู้เรียน ทำให้ผู้สอนอาจเผลอตัว-เผลอใจ ไปด้อยค่าหรือตำหนิติเตียนผู้เรียนได้ง่าย ดังนั้น ผู้สอนจำเป็นต้องมีความเมตตา และได้รับความไว้วางใจ (ศรัทธา) มากเพียงพอจากผู้เรียน
 
การจัดช่วงถามตอบ (Q&A) หรือทำวีดีโอที่ดูเหมือนว่าเรากำลังตอบคำถามใครคนหนึ่ง (Interview) นั่นแสดงว่า ที่เราสอน-เราตอบ ก็เพราะมีคนถาม แบบนี้จะช่วยลดอำนาจเหนือ และทำให้เนื้อหานั้นแทรกซึมสู่ใจผู้เรียนง่ายขึ้น
 
สิ่งที่น่าสนใจก็คือ มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ว่าเราจะคือคนที่เก่งที่สุดในโลก ที่สามารถสอนทุกคนได้ 100% ดังนั้น จึงมีการเรียนรู้อีกแบบที่ไม่ใช่ การสอนตรง เราเรียกว่า การเอื้ออำนวย (Facilitation)
 

แบบที่ 2 เอื้ออำนวย - ทฤษฎีวาย (Y-theory)

เมื่อเรามองว่า เขามีศักยภาพเพียงพอ รอเพียงการเอื้ออำนวยให้ปรากฏขึ้นมา โดยเฉพาะการพัฒนาด้านในจิตใจ หรือ Soft Skills มุมมองเช่นนี้ จึงท้าทายความเป็นผู้ใหญ่พอสมควร เพราะเราต้องเคารพในตัวเด็ก ก้าวข้ามมายาคติแห่งตัวตน ปล่อยวางประสบการณ์ คุณวุฒิ วัยวุฒิของตัวเอง แม้เพียงชั่วคราวในขณะที่เอื้ออำนวยการเรียนรู้นั่นเอง
 
โมเดลหนึ่งสำหรับการเอื้ออำนวยการเรียนรู้ เรียกว่า
 

PACIT Model *

ประกอบไปด้วย
 

1. P: Purpose

ระลึกถึงเจตจำนงของชุมชนหรือห้องเรียน ซึ่งเราตกลงร่วมกันด้วยความเต็มใจ เช่น เราตั้งใจที่จะทำงานที่มีคุณค่าต่อสังคม (Purpose) เราต้องการทำงานด้วยความสนุก ได้ทดลองทำสิ่งใหม่ ๆ ในโอกาสที่เหมาะสม (Play) เราต้องการพัฒนาศักยภาพของเราด้วยการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน (Potential) เราจะคอยสังเกตตัวเองและปรับขยายมุมมองของตนเองให้เปิดกว้างอยู่เสมอ เพื่อให้เรามีสายตาแห่งความเป็นดั่งกันและกัน (Interbeing) เป็นต้น 
 

2. A: Abilities

ความสามารถในการตระหนักรู้ในตนเอง ปรับสภาวะตนเอง ซึมซับรับรู้สภาวะรอบตัว เปิดพื้นที่ให้เกิดการสะท้อนการเรียนรู้ และเลือกปรับใช้เครื่องมือการเรียนรู้อย่างเหมาะสม
 

3. C: Context

ให้ความสำคัญกับบริบท สภาพแวดล้อม และวัฒนธรรมในปัจจุบัน จุ่มแช่ตัวเองตรงนั้นสักพัก เพื่อให้สามารถเอื้ออำนวยได้อย่างสอดคล้อง ถูกจังหวะเวลา และสร้างบรรยากาศที่เกื้อกูลความปลอดภัยทางใจ (Psychological Safety) เป็นพื้นที่เรียนรู้ เป็นช่วงเวลาที่ทดลองทำสิ่งที่ไม่ถนัดได้ โดยไม่มีการตัดสินกัน เป็นต้น
 

4. I: Inner

คุณภาพด้านในจิตใจ คือ หัวใจของการเอื้ออำนวย ถ้าเราเป็นอิสระจากความคาดหวัง จะทำให้มีสมาธิในกระบวนการได้อย่างเต็มเปี่ยม ปล่อยผ่านอคติของเราเอง การเรียนรู้ที่มีคุณภาพจะปรากฏขึ้นเองอย่างเป็นธรรมชาติ
 

5. T: Tools

เครื่องมือที่ใช้สร้างการเรียนรู้ ในปัจจุบันแบ่งเป็น 2 ส่วนหลัก ๆ ตามบริบท คือ (1) เครื่องมือเมื่อปฏิสัมพันธ์กันตัวเป็น ๆ และ (2) เครื่องมือเมื่อปฏิสัมพันธ์กันออนไลน์ แต่ละส่วนก็มีเครื่องมือหรือกิจกรรมให้เลือกใช้มากมาย เราอาจเชี่ยวชาญเครื่องมือใดเครื่องมือหนึ่งก็ได้ เช่น การเรียนรู้ผ่านศิลปะ, การเรียนรู้ผ่านโค้ชชิ่งการ์ด, การเรียนรู้ผ่านการเดินทาง หรือการเรียนรู้ผ่านการฝึกปฏิบัติ เป็นต้น
 
ข่าวดีก็คือ มีประตูบานหนึ่ง ที่เชื่อมโยงองค์ประกอบทั้งหมดที่กล่าวมาเข้าด้วยกัน นั่นคือ ทักษะการฟังอย่างลึกซึ้ง (Deep Listening) เพราะการฟังอย่างลึกซึ้ง ช่วยให้เรายังคงเปิดรับผู้อื่น ให้อิสระ และเห็นด้านในจิตใจตนเอง ได้อย่างลึกซึ้งมากขึ้นด้วยเช่นกัน
 
* Reference:
ธีรัญญ์ ไพโรจน์อังสุธร. (2564). งานวิจัย ภาวะผู้นำแบบเอื้ออำนวยใน "คณะดั่งกันและกัน" หมู่บ้านพลัม ประเทศไทย (Facilitative Leadership in "The Order of Interbeing" Group, Plum Village, Thailand) ศูนย์จิตตปัญญาศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล
Run Wisdom วิทยากร กระบวนกร ที่ปรึกษา โค้ชผู้บริหาร
เขียน 29 ก.ย. 2566 10:23
ปรับแก้ 29 ก.ย. 2566 10:46