Waycraft การฝึกปฏิบัติเพื่อการเคลื่อนที่ไปกับความซับซ้อน

วันที่ 11 พ.ย. 68 ผมได้มีโอกาสเข้าเรียนรู้ใน IDG Deep Dive เรื่องแนวคิด Waycraft: Practices for Moving with Complexity โดย Sonja Blignaut ซึ่งเป็นแนวทางการปฏิบัติและชุดเครื่องมือที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้เราสามารถนำทางและเคลื่อนที่ไปกับสถานการณ์ที่ซับซ้อนได้อย่างมีสติ 

คลับคล้ายคลับคลาว่าจะเป็นกระบวนการโค้ชสู่เป้าหมาย แต่แตกต่างกันที่ท่าทีต่อเป้าหมาย ที่เป็นเพียงเจตนารมณ์ในใจ แล้วมุ่งเน้นสร้างการตระหนักรู้ต่อความซับซ้อนในปัจจุบัน (Complexity) และอยู่กับสถานการณ์ตรงหน้ามากกว่า โดยความเข้าใจส่วนตัวแล้วเห็นว่า แนวคิดนี้เหมาะกับการใช้ในช่วงเวลาที่ต้องการลดความคิดที่ฟุ้งซ่าน และต้องการกรอบความเป็นไปได้ให้แคบลง เพื่อให้เกิดการคิดแบบ Convergent Thinking เพื่อนำไปสู่การลงมือทำ

Waycraft ถูกอธิบายว่าเป็นคำรวม (umbrella term) ที่สะท้อนถึงแนวคิดที่ว่า "ทักษะต่าง ๆ เป็นสิ่งที่ฝังอยู่ในร่างกาย (embodied)" และทุกคนสามารถเรียนรู้ทักษะเหล่านี้ได้ แนวคิดหลักของ Waycraft คือการเปลี่ยนมุมมองต่อความซับซ้อน และการจัดโครงสร้างการเคลื่อนที่ผ่านความไม่แน่นอน โดยมีรายละเอียด ดังนี้

1. มุมมองต่อความซับซ้อน (Complexity)

Waycraft เริ่มต้นด้วยการเปลี่ยนมุมมองที่เรามีต่อความซับซ้อน

  • ความซับซ้อนคือบริบท ไม่ใช่ปัญหา: Sonja Blignaut มองว่า ความซับซ้อนคือ "บริบทที่เรากระทำอยู่" ไม่ใช่ "ปัญหาที่เราต้องจัดการ" ความซับซ้อนคือ ชีวิตนั่นเอง (life itself)
  • ความซับซ้อนคือความงาม: เธอเห็นความซับซ้อนเป็นสิ่งที่ สวยงาม มีชีวิตชีวา และเป็นสิ่งที่ทำให้ชีวิตมีค่าควรแก่การมีอยู่ ลองนึกภาพว่าชีวิตจะน่าเบื่อแค่ไหนถ้าทุกอย่างสามารถคาดเดาได้
  • การต้านทานนำไปสู่ความติดขัด: เมื่อเรามองความซับซ้อนเป็นศัตรู หรือพยายาม "แก้ไขความซับซ้อน, ทำให้เชื่อง, ทำให้เรียบง่าย, หรือลดมันลง" (solve, tame, simplify, reduce it) นั่นทำให้เราติดขัดและนำทางได้ยากขึ้น เราต้องไม่ลืมว่าเรากำลังนำทางความซับซ้อนอยู่เสมอในทุกความสัมพันธ์ เช่น การเป็นพ่อแม่

2. แนวคิดหลักของการค้นหาเส้นทาง (Waysfinding)

Waysfinding คือหัวใจสำคัญของ Waycraft ในการนำทางสถานการณ์ที่ซับซ้อน

  • สร้างเส้นทางด้วยการเดิน: Waysfinding คือการ "สร้างเส้นทางด้วยการเดิน" (making paths by walking) ไม่ใช่การพบเส้นทางในคู่มือ
  • เรียนรู้ไปพร้อมกับการทำ: แนวคิดนี้คือ "การรู้ไปพร้อมกับการทำ ไม่ใช่การรู้ก่อนที่จะทำ" (knowing as we go, not before we go) ซึ่งแตกต่างจากวิธีการวางแผนเชิงเส้นแบบเก่าที่ต้องการรู้ว่าสิ่งนั้นเคยได้ผลที่ไหนมาก่อน
  • การสำรวจสิ่งอำนวยความสะดวก: Waysfinding ช่วยในการสำรวจสนามของ สิ่งอำนวยความสะดวก/โอกาส (affordances)

3. โครงสร้างหลักของ Waycraft (The Three Main Parts)

Waycraft ประกอบด้วยองค์ประกอบหลัก 3 ส่วน ซึ่งทั้งหมดช่วยในการนำทางความซับซ้อนในภาวะที่ไม่แน่นอน

3.1 COOL: ท่าทีหรือทัศนคติ (Posture or Stance)

COOL คือชุดทักษะอภิปัญญา (meta skills) ที่เป็นเสมือน "กระดูกสันหลัง" ที่ค้ำจุนเราไว้เมื่อสิ่งรอบตัวไม่แน่นอน

  • C (Courage) ความกล้าหาญ คือ ความกล้าหาญในการยอมรับว่าคุณไม่รู้ และการปล่อยวางสิ่งที่คุ้นเคยและสะดวกสบาย
  • O (Openness) การเปิดรับ คือ การเปิดใจที่จะไม่เรียนรู้สิ่งที่คิดว่ารู้แล้ว, เปิดรับมุมมองที่หลากหลาย, และเปิดใจให้ความอยากรู้อยากเห็น
  • O (Observing) การสังเกต คือ การตระหนักถึงรูปแบบที่กำลังปรากฏขึ้นรอบตัว และการสังเกตว่าเรากำลังตอบสนองต่อสิ่งเหล่านั้นอย่างไร เพื่อไม่ให้ตอบสนองด้วยสัญชาตญาณ (reactive)
  • L (Lightness) ความเบาสบาย คือ การขี้เล่น (playful) และไม่ยึดติดกับตัวเองอย่างจริงจังเกินไป การปล่อยวางอัตตา และมองเห็นความงามแม้ในสถานการณ์ที่ยุ่งเหยิงและไม่รู้

3.2 WAYS FINDER: โครงสร้างนำทาง (Scaffolding/Compass)

Waysfinder คือกรอบการทำงานที่เปรียบเสมือน เข็มทิศ ที่เป็นนั่งร้าน (scaffolding) ในการนำทาง เป็นเครื่องมือช่วยสะท้อนความเข้าใจภายใน เพื่อเคลื่อนจากความรู้สึก “ติดขัด” หรือ “ไม่แน่ใจ” ไปสู่การเห็นทางเลือกใหม่ ๆ อย่างมีสติและสอดคล้องกับคุณค่าในใจ มันช่วยสร้าง ภาชนะ (container) ที่ปลอดภัยให้เราสำรวจความเป็นไปได้ ประกอบด้วย 5 ขั้นตอน

ขั้นตอนที่ 1 Map the Current Reality 

ทำแผนที่ความเป็นจริงปัจจุบัน อธิบายว่าคุณอยู่ตรงไหนของความท้าทายนี้ ทั้งในแง่ของโอกาส/ความท้าทาย และ ความรู้สึกที่ฝังอยู่ในร่างกาย (stuck, lost, frustration, excitement) อธิบายความรู้สึกที่กำลังมีอยู่ เช่น รู้สึกติดขัด สับสน หลงทาง ฯลฯ อธิบายโอกาสหรือความท้าทายที่กำลังเผชิญอยู่ในบริบทปัจจุบัน เพียงแค่ไม่กี่คำก็พอ นี่คือขั้นตอนของ “การตระหนักรู้ (awareness)” เราไม่ต้องรีบแก้ แต่เริ่มจากการสังเกตสิ่งที่เป็นอยู่จริงทั้งในร่างกายและใจ เพื่อเห็นภาพรวมของสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น

  • ตอนนี้คุณอยู่ตรงไหนของเส้นทางชีวิตหรือการทำงาน?

ตัวอย่าง ในกระบวนการนี้ ผมแบ่งปันกับเพื่อนในกลุ่มย่อยว่า ช่วงเวลาที่เป็นวันหยุดยาว ผมตั้งใจจะพักผ่อน แต่ก็อาจจะมีเสียงภายในอีกเสียง ที่เรียกร้องให้ทำอะไรบางอย่างให้สำเร็จ

ในขั้นตอนนี้ ความกล้าหาญ (Courage) คือ การยอมรับว่าผมไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น และผมรู้สึกว่า ต้องกล้าที่จะดูไม่ดีด้วย อันนี้ สำคัญมาก ยิ่งกล้ามากขึ้นเท่าไหร่ ก็จะได้ทำงานด้านในจิตใจที่ลึกมากเท่านั้น นี่คือการเปิดประตูสู่ความจริงภายใน ซึ่งขึ้นอยู่กับพื้นที่ที่มีปลอดภัยทางใจด้วยเช่นกัน

ขั้นตอนที่ 2 Guardrail 1 – Acknowledge Limits

รั้วป้องกัน 1 - ยอมรับข้อจำกัด ยอมรับสิ่งที่ คุณไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตอนนี้ (เช่น ข้อจำกัดทางกฎหมาย หรือข้อเท็จจริงที่ไม่สามารถควบคุมได้) การทำเช่นนี้จะช่วยให้เราหยุดดิ้นรนและหันไปใช้พลังกับสิ่งที่ทำได้ เป็นการยอมรับ “ข้อจำกัดในปัจจุบัน” เพื่อให้เราหยุดดิ้นรนกับสิ่งที่ยังเกินกำลัง และหันมาใช้พลังไปกับสิ่งที่สามารถทำได้จริง การยอมรับข้อจำกัดไม่ได้แปลว่ายอมแพ้ แต่เป็นจุดเริ่มของความชัดเจน

  • ตอนนี้มีสิ่งใดที่คุณยังไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้?
  • มีทางเลือกใดที่ยังไม่เปิดให้คุณ?
  • ประตูที่ปิดไว้ หรือสถานที่ที่คุณไปไม่ได้ สิ่งที่คุณยังทำไม่ได้คืออะไร?

ตัวอย่าง ในขั้นนี้ ผมแบ่งปันในกลุ่มย่อยว่า ผมยอมรับว่าสิ่งที่ผมควบคุมไม่ได้ ก็คือความคิดของผมเอง ที่มันอาจจะมีช่วงเวลาที่กลมเกลียว และอาจจะมีช่วงเวลาที่ย้อนแย้งกันเอง

ความเปิดรับ (Openness) คือหัวใจของการวางราวกันตกชุดแรก (Guardrail) เป็นการเปิดใจต่อ “ความจริงที่ไม่ได้เป็นไปตามความคาดหวัง” และเปิดรับความซับซ้อนอย่างไม่พยายามทำให้มันง่ายกว่าที่เป็นจริง

ขั้นตอนที่ 3 Set Direction 

กำหนด เจตนารมณ์ (intention) หรือ ทิศทาง ที่รู้สึก "มีชีวิตชีวา" (alive) สำหรับคุณ สิ่งนี้ไม่ใช่ เป้าหมาย (goal) หากทิศทางยังไม่ชัดเจน การตั้งเจตนาไว้ว่า "จะสำรวจ" ก็เพียงพอแล้ว ขั้นนี้เน้น “ความรู้สึกของการมีชีวิตอยู่” มากกว่า “การบรรลุเป้าหมาย” คือการตั้งทิศทางที่ให้พลังกับชีวิต โดยไม่ต้องคาดหวังผลลัพธ์ที่แน่นอน ไม่จำเป็นต้องเป็น “เป้าหมาย” แค่เป็น “เจตนารมณ์ (intention)” ก็พอ หากตอนนี้ยังไม่ชัดเจนเลย ก็ไม่เป็นไร แค่ตั้งเจตนาไว้ว่า “จะสำรวจ” ก็พอแล้ว

  • เรากำลังมุ่งหน้าไปสู่ขอบฟ้าไหน?
  • มีทิศทางใดที่รู้สึก “มีชีวิตชีวา” สำหรับคุณไหม?

ตัวอย่าง ผมแบ่งปันในกลุ่มย่อยว่า ผมตั้งเจตนารมณ์ว่า จะพักผ่อนให้มีคุณภาพ ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง

ในขั้นตอนการตั้งทิศทาง ผมเริ่มสังเกต (Observing) ความตั้งใจที่แท้จริงของตนเอง ว่าเจตนานี้เกิดจากความอยากควบคุมความคิด หรือเกิดจากการเห็นคุณค่าของการพักผ่อน ผมสังเกตทิศทางของพลังงานภายในเปลี่ยนจาก “ต้องพัก” ไปสู่ “ขอพัก” นี่คือการตระหนักรู้ต่อ pattern ภายในใจ ที่เปลี่ยนความพยายามให้กลายเป็นความอ่อนโยน

ขั้นตอนที่ 4 Guardrail 2 – Set Permissioning Boundaries 

รั้วป้องกัน 2 (Guardrail) กำหนดขอบเขตการอนุญาต กำหนดว่า อะไรที่เราจะอนุญาตให้เข้ามาหรือออกไปจากสนามทางเลือกของเรา เพื่อให้สอดคล้องกับคุณค่าและรักษาการโฟกัส (เช่น การปฏิเสธลูกค้าที่ขัดกับหลักการด้านสิ่งแวดล้อม) เป็นการ “ตั้งขอบเขต (Boundaries)” อย่างมีสติ เพื่อปกป้องพลังงานและคุณค่าของตนเองจากสิ่งที่ไม่สอดคล้อง เช่น การปฏิเสธงานบางอย่างที่ขัดกับหลักการ หรือหยุดสิ่งที่ทำให้เสียสมดุล เพื่อรักษาการโฟกัส หรือเพื่อให้สอดคล้องกับคุณค่าของเรา

  • เราจะอนุญาตให้สิ่งใดเข้ามาหรือไม่เข้ามาในสนามชีวิตของเรา?

ตัวอย่าง ผมแบ่งปันในกลุ่มย่อยว่า ผมจะอนุญาตให้ตัวเองมีความคิดย้อนแย้งได้บ้าง ในขณะที่ต้องการพักผ่อน

นี่เป็นอีกขั้นตอน ที่เป็นเหมือนราวกันตก (Guardrail) สังเกตว่าผมไม่กดดันให้พักอย่างสมบูรณ์ แต่เบาสบายมากขึ้น (Lightness) ความเบาสบายนี้ช่วยคลายอัตตา หรือความคาดหวังที่อยาก “ทำให้ถูกต้อง” แต่ปล่อยให้ความย้อนแย้ง ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ ไม่ใช่ศัตรู และค่อย ๆ ออกจากสภาพการตกเป็นเหยื่อต่อสถานการณ์

ขั้นตอนที่ 5 Explore Options 

สำรวจทางเลือก มองหา การทดลองเล็ก ๆ ที่ล้มเหลวได้อย่างปลอดภัย (safe to fail experiments) หรือสิ่งที่เรียกว่า "การเพาะเมล็ด" (seeding) ซึ่งเป็นขั้นตอนเล็ก ๆ ที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในอนาคต มองหาทางเลือกใกล้เคียง หรือทางเลือกใหม่ ๆ ที่อยู่ขอบ ๆ ที่อาจยังไม่คุ้นเคย ลองทำการทดลองเล็ก ๆ ที่ “ล้มเหลวได้อย่างปลอดภัย” เพาะเมล็ดแนวคิดใหม่ ๆ แทนที่จะมองหาทางออกที่สมบูรณ์แบบ ให้เริ่มจาก “ทดลองสิ่งเล็ก ๆ” ที่อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในอนาคต เช่น ทดลองทำบางสิ่งวันละนิด ดูว่าได้ผลไหม ปลอดภัยไหม แล้วค่อยขยายต่อ เป็นการตั้งจิต “เลือกด้วยสติ” ว่าจะให้พลังแก่สิ่งใด และหยุดให้พลังกับสิ่งใด 

  • Where am I choosing to direct my energy right now?
    ตอนนี้ฉันเลือกที่จะใช้พลังของฉันไปทางไหน?
  • What will I no longer accept?
    มีสิ่งใดที่ฉันจะไม่ยอมรับอีกต่อไป?

ตัวอย่าง ผมแบ่งปันในกลุ่มย่อยว่า กิจกรรมที่คิดออก คือ การนั่งสมาธิ 30-40 นาที เพื่อทดลองว่า จะพักแบบที่ยังมีความคิดย้อนแย้งได้หรือไม่ 

เป็นการทดลองอย่างเบาสบาย (Lightness) ด้วยความกล้า (Courage) ที่จะเผชิญความไม่รู้ เปิดรับ (Openness) ต่อสิ่งที่เกิดขึ้น และ สังเกต (Observing) เพื่อเรียนรู้จากประสบการณ์จริง

หลังจากได้ผ่าน Workshop ผมพบว่าเครื่องมือ WAYS FINDER เหมาะมากสำหรับช่วงที่เรารู้สึก “ยังไม่แน่ใจว่าจะไปทางไหน” แต่ก็อยากเริ่มเคลื่อนต่อ สู่ความไม่รู้ ซึ่งมีความจริงรออยู่ โดยความน่าสนใจของกระบวนการนี้ คือ รั้วป้องกัน 1 และ 2 (Guardrail) ซึ่งคือการกั้นเงื่อนไขที่ควบคุมไม่ได้ออกไป และเปิดรับความเป็นไปได้ใหม่ ๆ เข้ามา ซึ่งช่วยให้เราเคลื่อนไปข้างหน้าได้ แม้อยู่ในเมฆหมอกแห่งความคลุมเครือ

3.3 STAR: กลไกการเคลื่อนที่ (Movement Mechanism)

STAR เป็นกลไกที่ช่วยให้เรา เคลื่อนที่อยู่เสมอ และคงความลื่นไหลยืดหยุ่น (fluid and flexible) มันคือกระบวนการต่อเนื่องในการก้าวเล็ก ๆ (small steps)

  • S (Sense) การรับรู้: การรับรู้ด้วย ร่างกายทั้งหมด (whole body) หรือ Sphere Intelligence รวมถึงการปรับตัวเข้ากับสัญชาตญาณ
  • T (Tune in) การปรับตัว: การจำแนก สัญญาณ จาก เสียงรบกวน และการปรับตัวเข้ากับรูปแบบที่อยู่ใต้พื้นผิว (patterns below the surface) รวมถึงการทำงานกับ สนามพลังงาน (fields)
  • A (Attend) การใส่ใจ: การตระหนักรู้ที่ขยายตัว (expanded awareness) หลังจากที่รับรู้และปรับตัวแล้ว
  • R (Respond) การตอบสนอง: การตอบสนองด้วยการก้าวเดินขั้นต่อไป

Waycraft โดยรวมแล้วคือการรวมกันของ ท่าทีที่ถูกต้อง (COOL), เข็มทิศนำทาง (WAYS FINDER), และกลไกการเคลื่อนที่ (STAR) ซึ่งช่วยให้เราสามารถนำทางความซับซ้อนโดยไม่ต้องพยายาม คิดหาคำตอบ หรือ ทำความเข้าใจ ความซับซ้อนทั้งหมดก่อนที่เราจะเริ่มเคลื่อนที่

4. Waysfinding ในบริบทองค์กรและวัฒนธรรม

Waysfinder สามารถนำไปใช้ในระดับ องค์กรและชุมชน (collective) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  • ความสอดคล้อง (Coherence) เหนือการจัดเรียง (Alignment): Waycraft เน้นความ "สอดคล้อง" (coherence) มากกว่าการ "จัดเรียง" (alignment) ซึ่งเป็นแนวคิดเชิงกลไกเชิงเส้นแบบเก่า
  • ความหมายของความสอดคล้อง: ความสอดคล้องคือการ เคลื่อนที่ไปในทิศทางเดียวกัน ภายใต้รั้วป้องกันชุดเดียวกัน แต่ยังคง อนุญาตให้มีความหลากหลาย (diversity) ได้โดยไม่แตกแยก
  • การกระจายความเป็นเจ้าของ: ในระดับองค์กร ผู้นำสามารถกำหนด สนามการเล่น (playing field) (ทิศทางและขอบเขต/รั้วป้องกัน) ซึ่งช่วยให้บุคลากรไม่ต้องขออนุญาต แต่สามารถ ใช้ความเป็นเจ้าของในการดำเนินการ (take up agency) ได้
  • การใช้ในวัฒนธรรม: สามารถใช้ Wayfinder เพื่อกำหนด ทิศทาง ที่วัฒนธรรมต้องการจะมุ่งไป (เช่น ต้องการเป็นองค์กรที่ปรับตัวได้ดีขึ้น) และกำหนด ขอบเขตที่ไม่สามารถต่อรองได้ (hard boundaries) และ ขอบเขตการอนุญาต (permissioning boundary) เพื่อส่งเสริมให้คนมีอิสระในการทดลองและทำผิดพลาด

อุปมาอุปไมย (Analogy)

แนวคิดของ Waycraft ในการนำทางความซับซ้อนนั้น คล้ายกับการเป็น ผู้นำทางชาวโปลินีเซียน แทนที่จะตั้งเป้าหมายที่เกาะและพยายามแล่นเรือไปหา พวกเขากลับ กำหนดเกาะนั้นเป็นเจตนารมณ์ ทำให้ดำรงอยู่อย่างเต็มเปี่ยมในปัจจุบัน เสมือนว่าพวกเขาจะดึงเกาะเข้ามาหาตนเอง พวกเขาตอบสนองต่อสิ่งที่ปรากฏขึ้นในปัจจุบัน และเมื่อเวลาผ่านไป เกาะก็จะ "พบพวกเขา" เช่นเดียวกับ Waycraft ที่เน้นการตอบสนองต่อปัจจุบันและการเรียนรู้จากการเคลื่อนที่เล็ก ๆ แทนการพยายามกำหนดผลลัพธ์ล่วงหน้า

Run Wisdom Soft Skills Trainer, Contemplative Facilitator, and Certified Strengths Coach
Since:
Update:

Read : 41 times