วันที่ 11 พ.ย. 68 ผมได้มีโอกาสเข้าเรียนรู้ใน IDG Deep Dive เรื่องแนวคิด Waycraft: Practices for Moving with Complexity โดย Sonja Blignaut ซึ่งเป็นแนวทางการปฏิบัติและชุดเครื่องมือที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้เราสามารถนำทางและเคลื่อนที่ไปกับสถานการณ์ที่ซับซ้อนได้อย่างมีสติ
คลับคล้ายคลับคลาว่าจะเป็นกระบวนการโค้ชสู่เป้าหมาย แต่แตกต่างกันที่ท่าทีต่อเป้าหมาย ที่เป็นเพียงเจตนารมณ์ในใจ แล้วมุ่งเน้นสร้างการตระหนักรู้ต่อความซับซ้อนในปัจจุบัน (Complexity) และอยู่กับสถานการณ์ตรงหน้ามากกว่า โดยความเข้าใจส่วนตัวแล้วเห็นว่า แนวคิดนี้เหมาะกับการใช้ในช่วงเวลาที่ต้องการลดความคิดที่ฟุ้งซ่าน และต้องการกรอบความเป็นไปได้ให้แคบลง เพื่อให้เกิดการคิดแบบ Convergent Thinking เพื่อนำไปสู่การลงมือทำ
Waycraft ถูกอธิบายว่าเป็นคำรวม (umbrella term) ที่สะท้อนถึงแนวคิดที่ว่า "ทักษะต่าง ๆ เป็นสิ่งที่ฝังอยู่ในร่างกาย (embodied)" และทุกคนสามารถเรียนรู้ทักษะเหล่านี้ได้ แนวคิดหลักของ Waycraft คือการเปลี่ยนมุมมองต่อความซับซ้อน และการจัดโครงสร้างการเคลื่อนที่ผ่านความไม่แน่นอน โดยมีรายละเอียด ดังนี้
Waycraft เริ่มต้นด้วยการเปลี่ยนมุมมองที่เรามีต่อความซับซ้อน
Waysfinding คือหัวใจสำคัญของ Waycraft ในการนำทางสถานการณ์ที่ซับซ้อน
Waycraft ประกอบด้วยองค์ประกอบหลัก 3 ส่วน ซึ่งทั้งหมดช่วยในการนำทางความซับซ้อนในภาวะที่ไม่แน่นอน
COOL คือชุดทักษะอภิปัญญา (meta skills) ที่เป็นเสมือน "กระดูกสันหลัง" ที่ค้ำจุนเราไว้เมื่อสิ่งรอบตัวไม่แน่นอน
Waysfinder คือกรอบการทำงานที่เปรียบเสมือน เข็มทิศ ที่เป็นนั่งร้าน (scaffolding) ในการนำทาง เป็นเครื่องมือช่วยสะท้อนความเข้าใจภายใน เพื่อเคลื่อนจากความรู้สึก “ติดขัด” หรือ “ไม่แน่ใจ” ไปสู่การเห็นทางเลือกใหม่ ๆ อย่างมีสติและสอดคล้องกับคุณค่าในใจ มันช่วยสร้าง ภาชนะ (container) ที่ปลอดภัยให้เราสำรวจความเป็นไปได้ ประกอบด้วย 5 ขั้นตอน
ขั้นตอนที่ 1 Map the Current Reality
ทำแผนที่ความเป็นจริงปัจจุบัน อธิบายว่าคุณอยู่ตรงไหนของความท้าทายนี้ ทั้งในแง่ของโอกาส/ความท้าทาย และ ความรู้สึกที่ฝังอยู่ในร่างกาย (stuck, lost, frustration, excitement) อธิบายความรู้สึกที่กำลังมีอยู่ เช่น รู้สึกติดขัด สับสน หลงทาง ฯลฯ อธิบายโอกาสหรือความท้าทายที่กำลังเผชิญอยู่ในบริบทปัจจุบัน เพียงแค่ไม่กี่คำก็พอ นี่คือขั้นตอนของ “การตระหนักรู้ (awareness)” เราไม่ต้องรีบแก้ แต่เริ่มจากการสังเกตสิ่งที่เป็นอยู่จริงทั้งในร่างกายและใจ เพื่อเห็นภาพรวมของสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น
ตัวอย่าง ในกระบวนการนี้ ผมแบ่งปันกับเพื่อนในกลุ่มย่อยว่า ช่วงเวลาที่เป็นวันหยุดยาว ผมตั้งใจจะพักผ่อน แต่ก็อาจจะมีเสียงภายในอีกเสียง ที่เรียกร้องให้ทำอะไรบางอย่างให้สำเร็จ
ในขั้นตอนนี้ ความกล้าหาญ (Courage) คือ การยอมรับว่าผมไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น และผมรู้สึกว่า ต้องกล้าที่จะดูไม่ดีด้วย อันนี้ สำคัญมาก ยิ่งกล้ามากขึ้นเท่าไหร่ ก็จะได้ทำงานด้านในจิตใจที่ลึกมากเท่านั้น นี่คือการเปิดประตูสู่ความจริงภายใน ซึ่งขึ้นอยู่กับพื้นที่ที่มีปลอดภัยทางใจด้วยเช่นกัน
ขั้นตอนที่ 2 Guardrail 1 – Acknowledge Limits
รั้วป้องกัน 1 - ยอมรับข้อจำกัด ยอมรับสิ่งที่ คุณไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตอนนี้ (เช่น ข้อจำกัดทางกฎหมาย หรือข้อเท็จจริงที่ไม่สามารถควบคุมได้) การทำเช่นนี้จะช่วยให้เราหยุดดิ้นรนและหันไปใช้พลังกับสิ่งที่ทำได้ เป็นการยอมรับ “ข้อจำกัดในปัจจุบัน” เพื่อให้เราหยุดดิ้นรนกับสิ่งที่ยังเกินกำลัง และหันมาใช้พลังไปกับสิ่งที่สามารถทำได้จริง การยอมรับข้อจำกัดไม่ได้แปลว่ายอมแพ้ แต่เป็นจุดเริ่มของความชัดเจน
ตัวอย่าง ในขั้นนี้ ผมแบ่งปันในกลุ่มย่อยว่า ผมยอมรับว่าสิ่งที่ผมควบคุมไม่ได้ ก็คือความคิดของผมเอง ที่มันอาจจะมีช่วงเวลาที่กลมเกลียว และอาจจะมีช่วงเวลาที่ย้อนแย้งกันเอง
ความเปิดรับ (Openness) คือหัวใจของการวางราวกันตกชุดแรก (Guardrail) เป็นการเปิดใจต่อ “ความจริงที่ไม่ได้เป็นไปตามความคาดหวัง” และเปิดรับความซับซ้อนอย่างไม่พยายามทำให้มันง่ายกว่าที่เป็นจริง
ขั้นตอนที่ 3 Set Direction
กำหนด เจตนารมณ์ (intention) หรือ ทิศทาง ที่รู้สึก "มีชีวิตชีวา" (alive) สำหรับคุณ สิ่งนี้ไม่ใช่ เป้าหมาย (goal) หากทิศทางยังไม่ชัดเจน การตั้งเจตนาไว้ว่า "จะสำรวจ" ก็เพียงพอแล้ว ขั้นนี้เน้น “ความรู้สึกของการมีชีวิตอยู่” มากกว่า “การบรรลุเป้าหมาย” คือการตั้งทิศทางที่ให้พลังกับชีวิต โดยไม่ต้องคาดหวังผลลัพธ์ที่แน่นอน ไม่จำเป็นต้องเป็น “เป้าหมาย” แค่เป็น “เจตนารมณ์ (intention)” ก็พอ หากตอนนี้ยังไม่ชัดเจนเลย ก็ไม่เป็นไร แค่ตั้งเจตนาไว้ว่า “จะสำรวจ” ก็พอแล้ว
ตัวอย่าง ผมแบ่งปันในกลุ่มย่อยว่า ผมตั้งเจตนารมณ์ว่า จะพักผ่อนให้มีคุณภาพ ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง
ในขั้นตอนการตั้งทิศทาง ผมเริ่มสังเกต (Observing) ความตั้งใจที่แท้จริงของตนเอง ว่าเจตนานี้เกิดจากความอยากควบคุมความคิด หรือเกิดจากการเห็นคุณค่าของการพักผ่อน ผมสังเกตทิศทางของพลังงานภายในเปลี่ยนจาก “ต้องพัก” ไปสู่ “ขอพัก” นี่คือการตระหนักรู้ต่อ pattern ภายในใจ ที่เปลี่ยนความพยายามให้กลายเป็นความอ่อนโยน
ขั้นตอนที่ 4 Guardrail 2 – Set Permissioning Boundaries
รั้วป้องกัน 2 (Guardrail) กำหนดขอบเขตการอนุญาต กำหนดว่า อะไรที่เราจะอนุญาตให้เข้ามาหรือออกไปจากสนามทางเลือกของเรา เพื่อให้สอดคล้องกับคุณค่าและรักษาการโฟกัส (เช่น การปฏิเสธลูกค้าที่ขัดกับหลักการด้านสิ่งแวดล้อม) เป็นการ “ตั้งขอบเขต (Boundaries)” อย่างมีสติ เพื่อปกป้องพลังงานและคุณค่าของตนเองจากสิ่งที่ไม่สอดคล้อง เช่น การปฏิเสธงานบางอย่างที่ขัดกับหลักการ หรือหยุดสิ่งที่ทำให้เสียสมดุล เพื่อรักษาการโฟกัส หรือเพื่อให้สอดคล้องกับคุณค่าของเรา
ตัวอย่าง ผมแบ่งปันในกลุ่มย่อยว่า ผมจะอนุญาตให้ตัวเองมีความคิดย้อนแย้งได้บ้าง ในขณะที่ต้องการพักผ่อน
นี่เป็นอีกขั้นตอน ที่เป็นเหมือนราวกันตก (Guardrail) สังเกตว่าผมไม่กดดันให้พักอย่างสมบูรณ์ แต่เบาสบายมากขึ้น (Lightness) ความเบาสบายนี้ช่วยคลายอัตตา หรือความคาดหวังที่อยาก “ทำให้ถูกต้อง” แต่ปล่อยให้ความย้อนแย้ง ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ ไม่ใช่ศัตรู และค่อย ๆ ออกจากสภาพการตกเป็นเหยื่อต่อสถานการณ์
ขั้นตอนที่ 5 Explore Options
สำรวจทางเลือก มองหา การทดลองเล็ก ๆ ที่ล้มเหลวได้อย่างปลอดภัย (safe to fail experiments) หรือสิ่งที่เรียกว่า "การเพาะเมล็ด" (seeding) ซึ่งเป็นขั้นตอนเล็ก ๆ ที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในอนาคต มองหาทางเลือกใกล้เคียง หรือทางเลือกใหม่ ๆ ที่อยู่ขอบ ๆ ที่อาจยังไม่คุ้นเคย ลองทำการทดลองเล็ก ๆ ที่ “ล้มเหลวได้อย่างปลอดภัย” เพาะเมล็ดแนวคิดใหม่ ๆ แทนที่จะมองหาทางออกที่สมบูรณ์แบบ ให้เริ่มจาก “ทดลองสิ่งเล็ก ๆ” ที่อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในอนาคต เช่น ทดลองทำบางสิ่งวันละนิด ดูว่าได้ผลไหม ปลอดภัยไหม แล้วค่อยขยายต่อ เป็นการตั้งจิต “เลือกด้วยสติ” ว่าจะให้พลังแก่สิ่งใด และหยุดให้พลังกับสิ่งใด
ตัวอย่าง ผมแบ่งปันในกลุ่มย่อยว่า กิจกรรมที่คิดออก คือ การนั่งสมาธิ 30-40 นาที เพื่อทดลองว่า จะพักแบบที่ยังมีความคิดย้อนแย้งได้หรือไม่
เป็นการทดลองอย่างเบาสบาย (Lightness) ด้วยความกล้า (Courage) ที่จะเผชิญความไม่รู้ เปิดรับ (Openness) ต่อสิ่งที่เกิดขึ้น และ สังเกต (Observing) เพื่อเรียนรู้จากประสบการณ์จริง
STAR เป็นกลไกที่ช่วยให้เรา เคลื่อนที่อยู่เสมอ และคงความลื่นไหลยืดหยุ่น (fluid and flexible) มันคือกระบวนการต่อเนื่องในการก้าวเล็ก ๆ (small steps)
Waycraft โดยรวมแล้วคือการรวมกันของ ท่าทีที่ถูกต้อง (COOL), เข็มทิศนำทาง (WAYS FINDER), และกลไกการเคลื่อนที่ (STAR) ซึ่งช่วยให้เราสามารถนำทางความซับซ้อนโดยไม่ต้องพยายาม คิดหาคำตอบ หรือ ทำความเข้าใจ ความซับซ้อนทั้งหมดก่อนที่เราจะเริ่มเคลื่อนที่
Waysfinder สามารถนำไปใช้ในระดับ องค์กรและชุมชน (collective) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แนวคิดของ Waycraft ในการนำทางความซับซ้อนนั้น คล้ายกับการเป็น ผู้นำทางชาวโปลินีเซียน แทนที่จะตั้งเป้าหมายที่เกาะและพยายามแล่นเรือไปหา พวกเขากลับ กำหนดเกาะนั้นเป็นเจตนารมณ์ ทำให้ดำรงอยู่อย่างเต็มเปี่ยมในปัจจุบัน เสมือนว่าพวกเขาจะดึงเกาะเข้ามาหาตนเอง พวกเขาตอบสนองต่อสิ่งที่ปรากฏขึ้นในปัจจุบัน และเมื่อเวลาผ่านไป เกาะก็จะ "พบพวกเขา" เช่นเดียวกับ Waycraft ที่เน้นการตอบสนองต่อปัจจุบันและการเรียนรู้จากการเคลื่อนที่เล็ก ๆ แทนการพยายามกำหนดผลลัพธ์ล่วงหน้า
