การคิดแบบ 2 ขั้ว (Polarity Thinking) เพื่อการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน

ผมได้มีโอกาสเข้าร่วม Workshop ชื่อ IDG Deep Drive: Bridging Polarities ที่จัดโดย Inner Development Goals (Global Community) เมื่อวันที่ 17 มิ.ย. และ 3 ก.ย. 68 โดยได้เรียนรู้เรื่อง Polarity Thinking จากคุณ Barry Johnson ผู้คิดค้น และคุณ Cliff Kayser ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเรียนรู้ของ Polarity Partnerships พบว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจ เพราะในกระบวนการคิดแบบนี้ ในที่สุด เราจะย้อนกลับมาเห็นและตระหนักรู้ข้างในจิตใจไปด้วย จึงขอนำสิ่งที่ได้เรียนรู้มา เขียนสรุปให้เข้าใจง่าย ๆ ผ่านบทความนี้ครับ

การคิดแบบ 2 ขั้ว (Polarity Thinking) คือ อะไร

การคิดแบบ 2 ขั้ว (Polarity Thinking) เกิดจากโลกของการเปลี่ยนแปลงส่วนบุคคลและการขับเคลื่อนองค์กร มักเผชิญสถานการณ์ที่ไม่ได้มีแค่ “ทางเลือกที่ถูก” กับ “ทางเลือกที่ผิด” แต่กลับเป็นสถานการณ์ที่มี “สองสิ่งดี ๆ” ที่เราต้องบริหารให้เกิดประโยชน์ ไม่ใช่เลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง สองสิ่งดี ๆ เช่นนี้ ถูกเรียกว่า Polarity หรือ ความเป็น 2 ขั้ว อย่างไรก็ตาม การเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง (Either/or) ยังอาจเป็นทางเลือกที่ดีในการตัดสินใจ แต่ในยุคที่มีความสลับซับซ้อน บางครั้ง เราจำเป็นต้องขยายมุมมองใหม่ เพื่อตัดสินใจเลือกทั้งสองอย่าง (Both/and) การขยายมุมมองเช่นนี้ เรียกว่า การคิดแบบ 2 ขั้ว (Polarity Thinking)

สองขั้ว (Polarity Poles) คืออะไร

ขั้วทั้งสอง คือ ค่านิยม มุมมอง หรือพลังที่มีผลเกี่ยวข้องกัน และต่างก็มีคุณค่าในตัวเอง โดยเราจะเชื่อมขั้วทั้งสองด้วยคำว่า "และ" แทนที่คำว่า "หรือ/vs." 

  • เปลี่ยนจาก “A หรือ B” มาเป็น “A และ B”
  • เปลี่ยนจาก Work vs. Life มาเป็น Work and Life
  • เปลี่ยนจาก Control vs. Freedom มาเป็น Control and Freedom

หากเราพยายาม “เลือกด้านใดด้านหนึ่งเท่านั้น” เราอาจได้ประโยชน์ในระยะสั้น แต่จะเกิดผลเสียจากการละเลยอีกขั้วในระยะยาว

ตัวอย่างสองขั้วที่พบได้บ่อย

เพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้น นี่คือตัวอย่างของ “สองขั้วที่ดี” ที่พบได้บ่อยในชีวิตและการทำงาน

  • ความมั่นคง และ การเปลี่ยนแปลง (Stability and Change)
  • ความมั่นใจ และ ความถ่อมตน (Confidence and Humility)
  • การควบคุม และ การให้อิสระ (Control and Freedom)
  • การริเริ่ม และ การรอจังหวะที่เหมาะสม (Initiative and Patience)
  • การโฟกัสที่งาน และ การใส่ใจในความสัมพันธ์ (Task Focus and Relationship Focus)
  • ความเป็นตัวของตัวเอง และ การเป็นส่วนหนึ่งของส่วนรวม (Individuality and Community)
  • การอยู่กับปัจจุบัน และ การมองไปข้างหน้า (Being Present and Looking Ahead)

ขั้นตอนแรก คือ การเห็นว่ามีสองขั้วที่ดี (See the Polarity) ก่อนที่เราจะบริหารจัดการ Polarity ได้ เราต้องเห็นก่อนว่าเรากำลังอยู่ในสถานการณ์ที่มี "สองขั้วที่ดี" หรือไม่ และนี่คือชุดคำถามที่ช่วยให้เราระบุขั้วทั้งสองได้ชัดเจนขึ้น

ตัวอย่างชุดคำถามเพื่อค้นหา 2 ขั้ว

  1. สำหรับคุณ อะไรคือสองขั้วที่ดี ที่จำเป็นต้องบูรณาการกัน ระหว่างการขับเคลื่อนโครงการ
  2. มีสถานการณ์ไหนในชีวิต ที่เรารู้สึกตึงเครียดเพราะต้องเลือก อยู่หรือไม่ เช่น ฉันอยากเปลี่ยนแปลงสิ่งใหม่ แต่ก็ไม่อยากเสียความมั่นคงที่มีอยู่
  3. มีคุณค่าหรือหลักการใดบ้างที่ ทั้งสองอย่างต่างก็สำคัญ เช่น ฉันให้คุณค่าทั้ง “ความอิสระ” และ “ความรับผิดชอบต่อทีม”
  4. อะไรคือ “สิ่งดี ๆ สองอย่าง” ที่ฉันกำลังพยายามรักษาไว้พร้อมกัน เช่น การเป็นผู้นำที่ “มั่นใจ” และ “อ่อนน้อมถ่อมตน”
  5. ถ้าฉันเลือกข้างใดข้างหนึ่งมากเกินไป จะเกิดผลเสียอะไรขึ้นบ้าง? 
  6. ฉันเคยมีประสบการณ์ที่ขั้วทั้งสองนี้ “อยู่ร่วมกันได้” หรือ “เสริมกัน” หรือไม่

ทำความรู้จัก S.M.A.L.L. Step

เพื่อให้เราเปลี่ยนจากการมองปัญหาแบบ "เลือกข้าง" มาเป็น "การบริหารความเป็นสองขั้ว" ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เราสามารถใช้กระบวนการ S.M.A.L.L. Step คือแนวทางง่าย ๆ ที่ช่วยให้เราค่อย ๆ ขยับในทิศทางให้เกิดประโยชน์จากทั้ง 2 ขั้วได้อย่างยั่งยืน

SMALL Step ประกอบด้วย

  1. S – See the Polarity
    มองให้เห็นขั้วทั้งสอง ว่าเรากำลังอยู่ในความตึงเครียดระหว่างสิ่งที่มีคุณค่าสองอย่าง ทั้ง 2 อย่างมีความเชื่อมโยงส่งผลต่อกัน สามารถบูรณาการกันได้

    • "สำหรับคุณ อะไรคือ 2 ขั้วที่ดี ที่จำเป็นต้องบูรณาการกัน ในระหว่างการขับเคลื่อนเป้าหมายชีวิตและการทำงาน" คำตอบ เช่น การออกกำลังกาย และ การพักผ่อน

  2. M – Map the Polarity
    วาดภาพความสัมพันธ์ของแต่ละขั้ว โดยใช้ Polarity Map เพื่อให้เข้าใจทั้งข้อดี ข้อเสีย และสัญญาณเตือนของแต่ละด้าน 

    • ผลเชิงบวกของขั้วทางซ้าย คือ อะไรบ้าง เช่น การออกกำลังกาย ทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรง เกิดความคล่องตัว
    • ผลเชิงบวกของขั้วทางขวา คือ อะไรบ้าง เช่น การพักผ่อน ทำให้ระบบภายในร่างกายทำงานได้อย่างสมดุล
    • อะไรคือ Greater Purpose Statement ถ้าเกิดผลเชิงบวกจากทั้ง 2 ขั้ว เช่น เกิดสุขภาวะที่ดี
    • ถ้าทำขั้วทางซ้ายมากเกินไป โดยละเลยขั้วทางขวา จะเกิดผลเชิงลบอย่างไรบ้าง
    • ถ้าทำขั้วทางขวามาเกินไป โดยละเลยขั้วทางซ้าย จะเกิดผลเชิงลบอย่างไรบ้าง
    • อะไรคือ Deeper Fear ผลสรุปเชิงลบที่อาจเกิดขึ้น
  3. A – Assess Your Current Reality

    • ในปัจจุบัน กำลังเกิดผลจากทั้ง 4 ช่อง มากน้อยแค่ไหน (ให้น้ำหนักแต่ละช่อง 1-5 คะแนน)
  4. L – Learn from the Wisdom of Each Pole

    • ขั้วแต่ละด้านบอกอะไรกับเรา เห็นการเชื่อมโยงกันอย่างไร และได้เรียนรู้อะไรบ้าง
  5. L – Leverage the Energy of Both
    ใช้พลังจากทั้งสองด้านร่วมกัน เพื่อให้ระบบทั้งหมด เคลื่อนตัวได้อย่างมีประโยชน์และยั่งยืน ไปสู่ความหมายใหม่ หรือเรียกว่า GPS (The Greater Purpose Statement)

    • ทำอย่างไรได้บ้าง เพื่อให้เกิดผลเชิงบวก และเท่าทันผลเชิงลบ

ความท้าทาย

ขั้นตอนที่ท้าทาย คือ การเปิดใจเห็นถึงข้อดีจากทั้ง 2 ขั้ว และเห็นว่า ทั้งคู่เป็นสองขั้วที่ดี (See the polarity) การคิดร่วมกันจะช่วยให้เกิดการขยายมุมมองได้ง่ายขึ้น โดยเห็นว่า เราสามารถมองโลกแบบ “และ...ใช่ทั้งคู่” (Both/And) ไม่ใช่แค่เพียงแบบ “หรือ...อย่างใดอย่างหนึ่ง” (Either/Or) นี่คือเครื่องมือ เพื่อขยายมุมมองเราให้เปิดกว้าง พร้อมเผชิญความเป็นจริงในโลกที่สลับซับซ้อน

สะท้อนตนเอง

ก่อนทำกิจกรรมนี้ ผมให้คุณค่าอีกด้านหนึ่งมากกว่าอีกด้าน แต่ภายหลังทำกิจกรรมแล้ว เมื่อย้อนกลับมองแต่ละด้าน ผมเกิดมุมมองแบบใหม่ เห็นคุณค่าในแต่ละด้านมากขึ้น อคติในจิตใจน้อยลงไป และเท่าทันเสียงตัดสิน พร่ำบ่น ได้ง่ายขึ้น ผมเชื่อว่าเมื่อเราเกิดการเปลี่ยนแปลงในมิติที่ลึกลงในจิตใจ เราจะลงมือทำได้อย่างเป็นธรรมชาติ ซึ่งนำมาสู่ความยั่งยืน

รัน ธีรัญญ์, Ph.D. Soft Skills Trainer, Contemplative Facilitator, and Certified Strengths Coach
Since:
Update:

Read : 659 times