งานนี้เขียนนี้ คือ ส่วนหนึ่งในบันทึกการเรียนรู้ของ ดร. ธีรัญญ์ ไพโรจน์อังสุธร จากการเข้าร่วมเรียนรู้กับ Prof. Christine Wamsler ในโปรแกรม IDG Ambassador
ต้นไม้แห่งการศึกษาเพื่อการเปลี่ยนแปลงภายในและภายนอกแบบบูรณาการ (Education Tree for Integrated Inner-Outer Transformation) เป็นเครื่องมือแนะแนวทางสำหรับการออกแบบหลักสูตรที่มุ่งเร่งการเปลี่ยนแปลงสู่ความยั่งยืนและการฟื้นฟู (sustainability and regeneration) โดยการเชื่อมโยงมิติภายในและภายนอกเข้าด้วยกัน โมเดลนี้ใช้ต้นไม้เป็นสัญลักษณ์ของการเติบโตและการเชื่อมโยง โดยรากที่มองไม่เห็นเปรียบเสมือนโลกภายในของเรา (inner world) ส่วนลำต้น กิ่ง และใบที่มองเห็นได้ เปรียบเสมือนโลกภายนอก (outer world) การที่ต้นไม้จะดำรงอยู่ได้ ทั้งสองส่วนนี้ต้องอยู่ร่วมกันและได้รับความใส่ใจเท่าเทียมกัน ต้นไม้แห่งการศึกษานี้สรุปมาจากผลการวิจัยหลายปีในสาขานี้ ซึ่งได้รับการตีพิมพ์ในปี 2024 และได้มีการปรับปรุงรูปแบบการนำเสนออย่างต่อเนื่อง รวมถึงเกิดจากการประเมินคอร์สที่พัฒนาโดย Inner Green Deal, UNDP และ Inner Development Goals (IDGs และ Global Leadership for Sustainable Development Program)
ต้นไม้แห่งการศึกษานี้ประกอบด้วย องค์ประกอบสำคัญ 4 ประการ (four key ingredients) ดังนี้ครับ

1. บริบทและความเข้าใจ (Context and Understanding)
องค์ประกอบแรกเน้นเรื่อง "เราเห็นโลกอย่างไร" (how we see the world) เกี่ยวข้องกับเนื้อหาของหลักสูตร ซึ่งต้องให้ข้อมูลและความเข้าใจที่ครอบคลุมเกี่ยวกับความท้าทายด้านความยั่งยืนในปัจจุบัน
- วิกฤตภายนอกสะท้อนวิกฤตภายใน: หลักสูตรต้องช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจว่า วิกฤตสังคมที่ซับซ้อนในปัจจุบัน (poly crisis) เป็นภาพสะท้อนของวิกฤตภายในของมนุษย์ นั่นคือการขาดการเชื่อมโยงหรือความแปลกแยกจากตนเอง ผู้อื่น และธรรมชาติ
- กระบวนทัศน์แห่งการแบ่งแยก: สถานการณ์นี้เป็นผลมาจากกระบวนทัศน์ทางสังคม (social paradigm) ที่โดดเด่นของสังคมสมัยใหม่ ซึ่งเน้นการแบ่งแยก (separation) นำไปสู่การใช้ประโยชน์และทำลายตนเอง ผู้อื่น และโลกอย่างไม่สิ้นสุด
- ความสำคัญของมิติภายใน: จำเป็นต้องจัดการกับมิติภายในของมนุษย์ (inner dimensions) ซึ่งเป็นรากของวิกฤตเหล่านี้ มิติภายในนี้รวมถึงความเชื่อ ค่านิยม โลกทัศน์ ทั้งในระดับบุคคลและส่วนรวม มิติภายในมีความเกี่ยวข้องกับความยั่งยืนใน 3 ลักษณะคือ:
- เป็นผู้ได้รับผลกระทบ (victim) จากวิกฤตความยั่งยืน เช่น ความวิตกกังวลเกี่ยวกับปัญหาสิ่งแวดล้อม (eco-anxiety) ที่เพิ่มขึ้น
- เป็นอุปสรรค (barrier) ต่อการลงมือทำที่เหมาะสม เนื่องจากอคติและอุปนิสัยทางความคิดที่นำไปสู่การคิดแบบระยะสั้นและแบ่งขั้ว
- เป็นสาเหตุรากเหง้า (root cause) ของวิกฤตในปัจจุบัน ซึ่งเกี่ยวข้องกับกรอบความคิดเรื่องการแบ่งแยก
- เป้าหมาย: เพื่อสร้างความเข้าใจว่า การพัฒนาตนเอง (individual personal development) เชื่อมโยงกับการเปลี่ยนแปลงในระดับส่วนรวมและระดับระบบ (collective and systems change) อย่างไร และต้องให้ข้อมูลเกี่ยวกับศักยภาพการเปลี่ยนแปลงภายใน (inner transformative capacities) และวิธีบ่มเพาะศักยภาพเหล่านี้เพื่อสร้างวงจรเชิงบวกของสุขภาวะและการฟื้นฟูในระดับบุคคล ส่วนรวม และโลก
2. วิธีการเรียนรู้ (Learning Approach)
องค์ประกอบที่สองเน้นเรื่อง "เราเรียนรู้อย่างไร" (how we get to know) โดยชี้ว่าวิธีการสอนที่เน้นความรู้ความเข้าใจ (cognitive teaching approaches) เพียงอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอ การบอกให้คนมีความเมตตากรุณาหรือรู้สึกเชื่อมโยงกับธรรมชาติมากขึ้นเฉยๆ นั้นไม่ได้ผล
- แนวทางแบบผสมผสาน: หลักสูตรจำเป็นต้อง สร้างพื้นที่ปลอดภัย (safe space) และนำเสนอแนวปฏิบัติที่สมดุลทั้งด้านปัญญา (cognitive) อารมณ์ (emotional) และความสัมพันธ์ (relational) เพื่อจัดการกับมิติภายใน บ่มเพาะศักยภาพการเปลี่ยนแปลง และสนับสนุนการเชื่อมโยงกับตนเอง ผู้อื่น และธรรมชาติ
- การปรับใช้ให้เข้ากับบริบท: แนวปฏิบัติเหล่านี้ต้องได้รับการออกแบบอย่างระมัดระวังและปรับให้เข้ากับบริบทของความยั่งยืน ตัวอย่างเช่น แนวทาง Mindfulness-Based Sustainable Transformation (MBST) ที่นำแนวทางเจริญสติมาปรับใช้กับบริบทความยั่งยืน โดยเชื่อมโยงการเจริญสติเข้ากับความเมตตากรุณา (compassion) ความกตัญญู (gratitude) แนวทางที่อิงกับธรรมชาติ (nature-based approaches) และการเชื่อมโยงทางสังคม (social connection)
- เป้าหมาย: เพื่อให้ผู้เรียนได้ ไตร่ตรองอย่างลึกซึ้งถึงตัวตน (embodied reflections) เกี่ยวกับวิถีการเป็นอยู่ การคิด และการกระทำของตนเอง ซึ่งจะช่วยให้พวกเขาสามารถดึงศักยภาพภายในออกมาใช้ในการดูแลและสร้างการเปลี่ยนแปลง
3. แนวทางและวิธีแก้ปัญหาเชิงปฏิบัติ (Practical Guidance and Solutions)
องค์ประกอบที่สองเน้นเรื่อง "เราลงมือทำอย่างไร" how we engage หลักสูตรต้องให้คำแนะนำเชิงปฏิบัติการ (operational guidance) เพื่อสนับสนุนแรงจูงใจและความตั้งใจของผู้เรียนในการลงมือทำเพื่อสร้างสุขภาวะและความดีงาม (well-being and well-doing)
- การบูรณาการมิติภายในและภายนอก: การทำงานกับมิติภายในและภายนอกต้องไม่แยกออกจากกัน แต่ต้องออกแบบมาตรการที่บูรณาการทั้งสองมิติเข้าด้วยกันในทุกระดับ ทั้งส่วนบุคคล ส่วนรวม และระบบ การมีส่วนร่วมนี้ต้องครอบคลุมทั้งพฤติกรรมส่วนบุคคล วัฒนธรรม และการเปลี่ยนแปลงระบบ จึงจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง
- การประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง: ต้องมีพื้นที่ให้ผู้เรียนนำสิ่งที่ได้เรียนรู้จากงานภายใน (inner work) ไปประยุกต์ใช้อย่างต่อเนื่องในชีวิตประจำวันและบริบทการทำงานของตนเอง
- การทำงานสองระดับ: ต้องตอบสนองต่อปัญหเร่งด่วนที่ต้องแก้ไข ควบคู่ไปกับการใช้แนวทางที่มุ่งเน้นการดึงศักยภาพภายในของผู้คนออกมา
- เป้าหมาย: เพื่อให้แน่ใจว่าการลงมือทำที่เกิดจากเจตนาที่ดีจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงในภาคส่วนต่างๆ และไม่ก่อให้เกิดผลเสียโดยไม่ตั้งใจ
4. การประกันคุณภาพ (Quality Assurance)
องค์ประกอบสุดท้ายเน้นเรื่อง "เราจะแน่ใจในการศึกษาที่มีคุณภาพได้อย่างไร" (how we ensure quality education) คือการประกันคุณภาพ (quality assurance) ซึ่งมีความสำคัญเพื่อให้แน่ใจว่าหลักสูตรดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพและมีจริยธรรม
- ประสบการณ์ของผู้สอน: ผู้สอนต้องมีประสบการณ์และความสามารถในการก้าวข้ามการสอนแบบดั้งเดิมที่เน้นผู้สอนเป็นศูนย์กลาง สามารถนำเสนอมุมมองใหม่ๆ ที่ท้าทายความคิดกระแสหลัก และถ่ายทอดความซับซ้อนได้โดยไม่ทำให้ผู้เรียนสับสน ผู้สอนที่ขาดประสบการณ์อาจสร้างผลเสียมากกว่าผลดี
- ข้อพิจารณาด้านจริยธรรมและความเท่าเทียม: ต้องคำนึงถึงบริบททางภูมิศาสตร์และผู้เข้าร่วมที่หลากหลาย จำเป็นต้องนำเสนอวิธีการที่หลากหลายและปรับปรุงการสอนอย่างต่อเนื่องเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ที่ครอบคลุมและข้ามวัฒนธรรม (intercultural learning)
- การติดตามและประเมินผล: การประเมินผลแบบดั้งเดิมอาจไม่เหมาะสม ควรมุ่งเน้นไปที่การประเมินความสัมพันธ์และแนวทางแบบบูรณาการที่ท้าทายบรรทัดฐาน วัฒนธรรม และโครงสร้างที่ไม่ยั่งยืนในหลายระดับ และควรระบุการเปลี่ยนแปลงในเรื่องเล่า (narratives) การมีส่วนร่วม และการที่ผู้คนเปลี่ยนจาก "ผู้ถูกเปลี่ยนแปลง" (agents to be changed) ไปเป็น "ผู้สร้างการเปลี่ยนแปลง" (agents of change)
โดยสรุป "ต้นไม้แห่งการศึกษาฯ" ชี้ให้เห็นว่าหลักสูตรที่มุ่งเร่งการเปลี่ยนแปลงสู่ความยั่งยืน ควรประกอบด้วย ความเข้าใจในบริบทบนฐานของวิทยาศาสตร์, แนวทางการเรียนรู้ที่ครอบคลุมซึ่งมีพื้นที่ปลอดภัย, คำแนะนำเชิงปฏิบัติสำหรับการลงมือทำ, และการประกันคุณภาพอย่างต่อเนื่อง องค์ประกอบเหล่านี้จะท้าทายวิธีที่เรามองโลก วิธีที่เราเรียนรู้ วิธีที่เรามีส่วนร่วม และวิธีที่เราสร้างการศึกษาที่มีคุณภาพ เพื่อส่งเสริมความเข้าใจอย่างลึกซึ้งและการลงมือทำที่สนับสนุนสุขภาวะของบุคคล ส่วนรวม และโลกโดยรวม