3 สารสำคัญหลัก (Key Messages) ในการนำเสนอ IDG

งานนี้เขียนนี้ คือ ส่วนหนึ่งในบันทึกการเรียนรู้ของ ดร. ธีรัญญ์ ไพโรจน์อังสุธร จากการเข้าร่วมโปรแกรม IDG Ambassador

โครงสร้างการนำเสนอที่ประกอบด้วย 3 สารสำคัญหลักนี้ เป็นเสมือน "โครงเรื่อง" (storyline) ที่ออกแบบมาเพื่อนำเสนอแนวคิดเรื่องการเปลี่ยนแปลงด้านในเพื่อความยั่งยืนอย่างเป็นระบบและมีเหตุผล โครงสร้างนี้ไม่ได้เป็นเพียงการสรุปเนื้อหา แต่เป็นการเดินทางทางความคิดที่พาผู้ฟังจาก "ปัญหา" ไปสู่ "ทางออกที่เป็นไปได้" และจบลงที่ "เครื่องมือและการสนับสนุนที่เป็นรูปธรรม" ซึ่งแต่ละส่วนทำหน้าที่แตกต่างกันแต่เชื่อมโยงกันอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความเข้าใจที่ลึกซึ้งถึงความจำเป็นในการเชื่อมโยงมิติภายใน (IDGs) เข้ากับมิติภายนอก (SDGs)

สิ่งสำคัญคือต้อง หลีกเลี่ยงการสร้างความสิ้นหวัง (despair) ความวิตกกังวล (anxiety) การนิ่งเฉย (inaction) และความแตกแยก (polarization) แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องตอบสนองความต้องการเร่งด่วน พร้อมๆ กับการแก้ไขที่รากเหง้าของปัญหา ซึ่งคือการสนับสนุน การเชื่อมโยงอีกครั้ง (reconnection) สุขภาวะ (wellbeing) ความหวัง (hope) และความร่วมมือ (cooperation) ผ่านแนวทางแบบบูรณาการที่เชื่อมโยง IDGs และ SDGs เข้าด้วยกัน


สารสำคัญหลัก ข้อที่ 1 เรากำลังเผชิญปัญหาอะไรกันแน่

สารสำคัญหลักข้อที่ 1 ทำหน้าที่เป็นจุดเริ่มต้นและเป็นรากฐานของการนำเสนอทั้งหมด โดยชี้ให้เห็นถึง ปัญหาพื้นฐานที่ทำให้แนวทางการพัฒนาความยั่งยืนในปัจจุบันยังไม่สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงที่จำเป็นได้ ซึ่งเป็นการปูทางไปสู่ความจำเป็นในการมองหาแนวทางใหม่ในสารสำคัญข้อที่ 2 และ 3 ต่อไป

ประเด็นหลักของสารสำคัญข้อที่ 1 สามารถแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ "อะไร" (What) คือสถานการณ์ปัจจุบัน และ "ทำไม" (Why) คือสาเหตุที่ทำให้เป็นเช่นนั้น

1. "อะไร": สถานการณ์ปัจจุบันคือแนวทางที่เราใช้อยู่ไม่เพียงพอ (What: Current approaches are insufficient)

ประเด็นนี้เป็นการยอมรับความจริงที่ว่า แม้จะมีความพยายามมากมายในด้านวิทยาศาสตร์ความยั่งยืน การลงมือปฏิบัติ และการศึกษา แต่เราก็ยังไม่สามารถกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่จำเป็นได้ ผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดคือ เรากำลังเผชิญกับหายนะทางระบบนิเวศ (ecological catastrophe) ควบคู่ไปกับวิกฤตสุขภาพจิตทั่วโลก (worldwide mental health crisis), ความยากจน และความวุ่นวายทางการเมือง การเริ่มต้นด้วยการกล่าวถึงสิ่งที่เห็นได้ชัดเจนเช่นนี้ (stating the obvious) เป็นสิ่งสำคัญ เพราะมันช่วยสร้างความตระหนักร่วมกันถึงความเร่งด่วนของปัญหา

2. "ทำไม": สาเหตุที่แนวทางปัจจุบันไม่เพียงพอ (Why: The reasons for insufficiency)

แหล่งข้อมูลได้ระบุสาเหตุหลักไว้ 3 ประการ ดังนี้:

  • ความเข้าใจผิดว่าปัญหาความยั่งยืนเป็นเพียงวิกฤตภายนอก: แนวทางปัจจุบันมีพื้นฐานอยู่บนความเข้าใจที่ผิดพลาดว่าความท้าทายด้านความยั่งยืนเป็นภัยคุกคามหรือวิกฤตที่อยู่ "ภายนอก" ตัวเรา และตรรกะที่ตามมาคือ เมื่อเรานิยามปัญหาว่าเป็นเรื่องภายนอก เราก็จะตอบสนองด้วยการแก้ไขปัญหาจากภายนอก ซึ่งส่วนใหญ่มักเป็นวิธีแก้ปัญหาเชิงเทคนิค (external, mainly technical solutions) การมองข้ามมิติภายในของมนุษย์จึงเป็นช่องโหว่ที่สำคัญ
  • การยึดติดกับแบบจำลองการขาดความรู้ (Knowledge-Deficit Model)แนวทางส่วนใหญ่ตั้งอยู่บนสมมติฐานที่เรียกว่า "แบบจำลองการขาดความรู้" ซึ่งเชื่อว่า "ถ้าเราสามารถให้ข้อมูลทั้งหมดแก่ทุกคนได้ ปัญหาก็จะถูกแก้ไข" อย่างไรก็ตาม หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ชี้ชัดว่าแนวคิดนี้ไม่ถูกต้อง เพียงแค่การให้ข้อมูลอย่างเดียวไม่สามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมหรือสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ลึกซึ้งได้ การที่เรายังคงยึดติดกับแนวทางนี้จึงเป็นอีกสาเหตุของความล้มเหลว
  • ช่องว่างระหว่างชุมชนความยั่งยืนและชุมชนการพัฒนาจิตสำนึก: มีการแบ่งแยกกันอย่างชัดเจนระหว่างกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ (นักวิชาการ, นักการศึกษา, ผู้ปฏิบัติงาน) ที่มุ่งเน้นเรื่องความยั่งยืน (มิติภายนอก) กับกลุ่มที่มุ่งเน้นการพัฒนาส่วนบุคคลหรือจิตสำนึก (มิติภายใน) ช่องว่างนี้เป็นอุปสรรคต่อความก้าวหน้า ผลลัพธ์คือ แม้ว่าความสามารถทางวิชาชีพและเทคโนโลยีของเราจะเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด แต่ความสามารถในการใช้สิ่งเหล่านั้นอย่างชาญฉลาดกลับไม่เพิ่มขึ้นตาม

โดยสรุปแล้ว สารสำคัญข้อที่ 1 นี้เป็นการวิเคราะห์อย่างตรงไปตรงมาถึงข้อจำกัดของกระบวนทัศน์ปัจจุบันในการรับมือกับวิกฤตความยั่งยืน โดยชี้ให้เห็นว่า ปัญหาไม่ได้อยู่ที่การขาดแคลนเทคโนโลยีหรือข้อมูล แต่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างในวิธีคิดและการมองปัญหาของเรา การนำเสนอประเด็นนี้เป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญ เพื่อเปิดใจผู้ฟังให้เห็นความจำเป็นของการมี "เรื่องเล่าใหม่" (new sustainability story) ที่จะถูกกล่าวถึงในสารสำคัญข้อถัดไป ซึ่งก็คือการเกิดขึ้นขององค์ความรู้ใหม่ที่เชื่อมโยงการเปลี่ยนแปลงภายในเข้ากับการเปลี่ยนแปลงภายนอก


สารสำคัญหลัก ข้อที่ 2 เรามีองค์ความรู้ที่ต้องหันมาใส่ใจ

หลังจากที่สารสำคัญข้อที่ 1 ได้ชี้ให้เห็นว่า "แนวทางปัจจุบันไม่เพียงพอ" และได้วิเคราะห์ถึงสาเหตุของข้อจำกัดนั้นแล้ว สารสำคัญข้อที่ 2 ก็จะทำหน้าที่ นำเสนอ "ทางออก" หรือ "คำตอบ" ที่เกิดขึ้นเพื่อมาเติมเต็มช่องว่างดังกล่าว

ในบริบทของโครงสร้างการนำเสนอ 3 สารสำคัญหลัก สารสำคัญข้อที่ 2 ที่ว่า "มีสาขาใหม่ที่ตอบสนองช่องว่าง (There is a new field that addresses current gaps)" จึงเป็นการสร้างความหวังและชี้ให้เห็นถึงความก้าวหน้าเชิงบวก โดยมีประเด็นสำคัญดังนี้ค่ะ

1. การเกิดขึ้นขององค์ความรู้ใหม่ (The emergence of a new field)

แหล่งข้อมูลระบุว่าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ได้เกิดสาขาวิชาการใหม่ขึ้นมาซึ่งมุ่งเน้นศึกษา ส่วนที่มาบรรจบกันระหว่างการพัฒนาด้านใน (inner development), พฤติกรรม, วัฒนธรรม และการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบ (system transformation) สาขานี้มีชื่อเรียกหลากหลาย เช่น

  • การเปลี่ยนแปลงภายในเพื่อความยั่งยืน (Inner transformation for sustainability)
  • การเปลี่ยนแปลงเชิงบูรณาการระหว่างภายในและภายนอก (Integrated inner-outer transformation)
  • ความยั่งยืนเชิงอัตถิภาวนิยม (Existential sustainability) ซึ่งเป็นคำที่ผู้บรรยายชื่นชอบเป็นพิเศษ เพราะเป็นการเชื่อมโยงการตั้งคำถามเชิงอัตถิภาวนิยม (existential questions) เข้ากับการรับมือภัยคุกคามเชิงอัตถิภาวนิยม (existential threats) ของความยั่งยืน

แม้ว่าสาขานี้จะยังค่อนข้างใหม่ แต่ก็ได้รับการยอมรับจากองค์กรสำคัญระดับโลกมากขึ้นเรื่อยๆ เช่น โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP), คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPCC) และ แพลตฟอร์มระหว่างรัฐบาลว่าด้วยนโยบายวิทยาศาสตร์ด้านความหลากหลายทางชีวภาพและบริการจากระบบนิเวศ (IPBES)

2. คุณูปการสำคัญของสาขาวิชาใหม่ (Key contributions of the new field)

สาขานี้ได้สร้างคุณูปการที่สำคัญต่อความเข้าใจในเรื่องความยั่งยืน ซึ่งช่วยอุดช่องว่างที่แนวทางเดิมๆ ได้มองข้ามไป ดังนี้

  • เปลี่ยนมุมมองต่อวิกฤต (Reframing the crisis): องค์ความรู้ใหม่นี้ชี้ให้เห็นว่า ภัยคุกคามและวิกฤตการณ์ต่างๆ ที่เราเผชิญอยู่ภายนอก แท้จริงแล้วเป็นภาพสะท้อนของวิกฤตภายในของมนุษย์ (inner human crisis) วิกฤตภายในนี้มีรากฐานมาจากการที่เรา ขาดการเชื่อมโยงหรือแปลกแยกจากตนเอง (self), ผู้อื่น (others) และธรรมชาติ (nature) ซึ่งการขาดการเชื่อมโยงนี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เป็นส่วนหนึ่งที่ถูกฝังอยู่ในวิถีชีวิตสมัยใหม่ ทั้งในวัฒนธรรม สถาบัน และระบบการเมืองของเรา
  • ชี้ให้เห็นถึงจุดคานงัดที่ลึกซึ้ง (Identifying deep leverage points): งานวิจัยในสาขานี้ได้แสดงให้เห็นว่า มิติภายในของมนุษย์ (inner dimensions) ซึ่งหมายถึงความเชื่อ ค่านิยม โลกทัศน์ และความสามารถหรือทักษะภายในที่เกี่ยวข้อง ทั้งในระดับบุคคลและระดับส่วนรวมนั้น เป็น "จุดคานงัด" (leverage points) ที่ลึกซึ้งสำหรับการเปลี่ยนแปลง การให้คำนิยามที่ชัดเจนเช่นนี้เป็นสิ่งสำคัญ เพราะทำให้เราสามารถออกแบบวิธีการเข้าไปจัดการกับองค์ประกอบต่างๆ ของมิติภายในได้อย่างเหมาะสม ซึ่งเป้าหมายการพัฒนาด้านใน (IDGs) ก็เกี่ยวข้องโดยตรงกับส่วนที่เป็นทักษะและความสามารถภายในนี้
  • นำเสนอแนวทางแบบบูรณาการ (Providing integrated approaches): องค์ความรู้ใหม่นี้ไม่เพียงแต่ชี้ให้เห็นความสำคัญของมิติภายใน แต่ยังได้ ระบุวิธีการที่จะจัดการกับมิติภายในเหล่านี้ในลักษณะที่บูรณาการกันทั้งในระดับบุคคล (individual), ส่วนรวม (collective) และระดับระบบ (system) นี่คือการเน้นย้ำว่าเราต้องไม่มององค์ประกอบเหล่านี้แยกจากกัน แต่ต้องเชื่อมโยงการทำงานระหว่าง IDGs และ SDGs เข้าด้วยกัน

โดยสรุปแล้ว สารสำคัญข้อที่ 2 ทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่าง "ปัญหา" ที่กล่าวไว้ในข้อที่ 1 กับ "แนวทางปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม" ที่จะกล่าวถึงในข้อที่ 3 โดยชี้ให้เห็นว่า เราไม่ได้กำลังพูดถึงเรื่องที่เป็นนามธรรมลอยๆ แต่มีองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์และชุมชนวิชาการที่กำลังเติบโตขึ้นมาเพื่อรองรับแนวคิดนี้อย่างจริงจัง ซึ่งเป็นการสร้างความน่าเชื่อถือและเปิดทางไปสู่การแนะนำเครื่องมือและแบบจำลองต่างๆ ที่จะช่วยให้เรานำแนวคิดเรื่องการเชื่อมโยงการเปลี่ยนแปลงภายในและภายนอกไปสู่การปฏิบัติได้จริง


สารสำคัญหลัก ข้อที่ 3 เรามีวิธีการที่นำไปใช้ได้

หลังจากที่สารสำคัญข้อที่ 1 ได้ชี้ให้เห็นถึงปัญหาของแนวทางปัจจุบัน และสารสำคัญข้อที่ 2 ได้นำเสนอการเกิดขึ้นขององค์ความรู้ใหม่เพื่อตอบสนองช่องว่างนั้นแล้ว สารสำคัญข้อที่ 3 ก็จะทำหน้าที่ เชื่อมโยงองค์ความรู้เข้ากับการลงมือปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม โดยเน้นย้ำว่า "มีองค์ความรู้ที่กำลังเติบโตขึ้นซึ่งสนับสนุนการทำงานเกี่ยวกับ IDGs"

ในบริบทของโครงสร้างการนำเสนอทั้งหมด สารสำคัญข้อที่ 3 ถือเป็นขั้นตอนสุดท้ายที่สำคัญที่สุด เพราะเป็นการนำเสนอเครื่องมือและชุมชนที่พร้อมจะสนับสนุนการเปลี่ยนแปลง ทำให้แนวคิดทั้งหมดไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน แต่เป็นสิ่งที่สามารถนำไปปฏิบัติได้จริง

สาระสำคัญของข้อความหลักที่ 3 สามารถแบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลัก คือ ชุมชนแห่งการปฏิบัติ (Community of Practice) และ แบบจำลอง/ทฤษฎี (Models/Theories) ดังนี้ค่ะ

1. ชุมชนแห่งการปฏิบัติและผู้ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง (Community of Practice & Change Agents)

  • การมีอยู่ของชุมชนที่กำลังเติบโต: แหล่งข้อมูลเน้นย้ำว่าไม่ได้มีเพียงแนวคิดทางทฤษฎีเท่านั้น แต่มี "ชุมชนของนักวิชาการ นักการศึกษา และผู้ปฏิบัติงานที่กำลังเติบโตขึ้นเรื่อยๆ" ชุมชนเหล่านี้ได้ร่วมกันสร้าง "สาขาแห่งการเปลี่ยนแปลง" (field of change) และ "ชุมชนแห่งการปฏิบัติ" (communities of practice) ขึ้นมา
  • เป้าหมายของชุมชน: เป้าหมายหลักของชุมชนเหล่านี้คือการสนับสนุนให้เกิด "การเปลี่ยนแปลงไปสู่เรื่องเล่าใหม่ของความยั่งยืน" (a shift towards a new sustainability story/paradigm) ซึ่งเป็นเรื่องเล่าที่ให้ความสำคัญกับการบูรณาการมิติภายในเข้ากับมิติภายนอก
  • การให้แนวทางปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม: ชุมชนนี้ไม่ได้เพียงแค่พูดคุยเชิงแนวคิด แต่ยังให้ "ข้อมูลที่เป็นรูปธรรม" (concrete input) ว่าจะสนับสนุนมาตรการเชิงบูรณาการ (integrated measures) ที่เชื่อมโยงมิติภายในและภายนอกได้อย่างไร ในทุกภาคส่วนและทุกระดับ ซึ่งเป็นการเชื่อมโยง IDGs เข้ากับ SDGs อย่างเป็นระบบ

2. แบบจำลองและทฤษฎีที่สนับสนุนการทำงาน (Supporting Models and Theories)

เพื่อทำให้การนำไปปฏิบัติง่ายขึ้น แหล่งข้อมูลได้ระบุถึงแบบจำลองและทฤษฎีสำคัญๆ ที่สามารถนำมาใช้สนับสนุนการทำงานในด้านนี้ได้ ซึ่งช่วยตอบคำถามว่า "ทำไม" (Why), "อะไร" (What) และ "อย่างไร" (How) ในการเชื่อมโยง IDGs กับ SDGs แบบจำลองหลักๆ 4 รูปแบบที่ถูกกล่าวถึง ได้แก่:

  1. The IMAGIND Framework: ช่วยให้เรา "จินตนาการถึงเรื่องเล่าใหม่และวิธีการใหม่ๆ ในการทำสิ่งต่างๆ" สร้างขึ้นเพื่อชี้แจงความเข้าใจผิดและเน้นย้ำว่านี่คือการเปลี่ยนแปลงเชิงบูรณาการระหว่างภายในและภายนอก ไม่ใช่การแยกส่วนกัน
  2. The Mind-Sustainability Nexus: แบบจำลองนี้ "อธิบายความเชื่อมโยงระหว่างจิตใจหรือชีวิตภายในของเรากับความท้าทายด้านความยั่งยืน" โดยชี้ให้เห็นแนวทางในการเปลี่ยนจากวงจรการทำลายล้าง (vicious cycle) ไปสู่วงจรแห่งการสร้างสรรค์ (virtuous cycle) เพื่อสุขภาวะของปัจเจกบุคคล ส่วนรวม และโลก
  3. The Inner-Outer Transformation Model: เป็นแบบจำลองที่ "อธิบายอย่างละเอียดว่ากระบวนการภายในและภายนอกเชื่อมโยงกันอย่างไร" และได้ระบุกลุ่มของความสามารถในการเปลี่ยนแปลง (transformative capacities) 5 กลุ่ม ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นคู่ขนานทางวิทยาศาสตร์ของกรอบแนวคิด IDGs (scientific counterpart of the IDGs)
  4. The Education Tree for Inner-Outer Transformation: แบบจำลองนี้ให้ "แนวทางสำหรับการออกแบบหลักสูตรที่มุ่งเร่งให้เกิดความยั่งยืนและการฟื้นฟู" โดยเชื่อมโยงการเปลี่ยนแปลงภายในและภายนอกเข้าด้วยกัน ซึ่งเป็นผลมาจากการวิจัยและประเมินหลักสูตรต่างๆ รวมถึงหลักสูตร IDG Global Leadership for Sustainable Development

นอกจากนี้ แหล่งข้อมูลยังระบุว่าแบบจำลองเหล่านี้สามารถทำงานร่วมกับแนวทางอื่นๆ ที่ใช้ในหลักสูตรผู้นำด้านความยั่งยืนได้ เช่น Three Spheres of Transformation, Integral Theory, และ Theory U เป็นต้น โดยเป็นการทำงานที่สนับสนุนซึ่งกันและกัน ไม่ได้แข่งขันกัน

โดยสรุป สารสำคัญข้อที่ 3 เป็นการสร้างความมั่นใจให้กับผู้ฟังว่า การขับเคลื่อนเรื่อง IDGs ไม่ใช่การเริ่มต้นจากศูนย์ แต่ตั้งอยู่บนรากฐานขององค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่แข็งแกร่ง มีชุมชนที่พร้อมสนับสนุน และมีเครื่องมือที่เป็นรูปธรรม เพื่อช่วยในการออกแบบและนำแนวคิดการพัฒนาด้านในไปสู่การปฏิบัติจริงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นการปิดท้ายการนำเสนอด้วยการมอบ "ทางออก" และ "แนวทาง" ที่ชัดเจน หลังจากได้ชี้ให้เห็นถึง "ปัญหา" และ "องค์ความรู้ใหม่" ในสองสารสำคัญแรกนั่นเอง

สรุป สารสำคัญหลัก 3 ข้อ
  1. เรากำลังเผชิญปัญหาอะไรกันแน่ - ความเข้าใจผิดว่าปัญหาความยั่งยืนเป็นเพียงวิกฤตภายนอก และมีช่องว่างระหว่างชุมชนความยั่งยืนและชุมชนการพัฒนาจิตสำนึก แม้ว่าความสามารถทางวิชาชีพและเทคโนโลยีของเราจะเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด แต่ความสามารถในการใช้สิ่งเหล่านั้นอย่างชาญฉลาดกลับไม่เพิ่มขึ้นตาม
  2. เรามีองค์ความรู้ที่ต้องหันมาใส่ใจ - เราไม่ได้กำลังพูดถึงเรื่องที่เป็นนามธรรมลอยๆ แต่มีองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์และชุมชนวิชาการที่กำลังเติบโตขึ้นมาเพื่อรองรับการพัฒนาด้านใน (Inner Development) อย่างจริงจัง
  3. เรามีวิธีการที่นำไปใช้ได้ - การขับเคลื่อนเรื่อง IDGs ไม่ใช่การเริ่มต้นจากศูนย์ แต่ตั้งอยู่บนรากฐานขององค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่แข็งแกร่ง มีชุมชนที่พร้อมสนับสนุน และมีเครื่องมือที่เป็นรูปธรรม เพื่อช่วยในการออกแบบและนำแนวคิดการพัฒนาด้านในไปสู่การปฏิบัติจริง

สิ่งสำคัญคือต้อง หลีกเลี่ยงการสร้างความสิ้นหวัง (despair) ความวิตกกังวล (anxiety) การนิ่งเฉย (inaction) และความแตกแยก (polarization) แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องตอบสนองความต้องการเร่งด่วน พร้อมๆ กับการแก้ไขที่รากเหง้าของปัญหา ซึ่งคือการสนับสนุน การเชื่อมโยงอีกครั้ง (reconnection) สุขภาวะ (wellbeing) ความหวัง (hope) และความร่วมมือ (cooperation) ผ่านแนวทางแบบบูรณาการที่เชื่อมโยง IDGs และ SDGs เข้าด้วยกัน

Run Wisdom Soft Skills Trainer, Contemplative Facilitator, and Certified Strengths Coach
Since:
Update:

Read : 23 times