1. เพิ่มเติมรายละเอียดเกี่ยวกับต้นทุนของหนี้ (Cost of Debt)
ต้นทุนของหนี้ (Cost of Debt) เป็นองค์ประกอบสำคัญในการวิเคราะห์โครงสร้างเงินทุนของบริษัท และเป็นหนึ่งในส่วนประกอบหลักของ ต้นทุนเงินทุนถัวเฉลี่ย (Weighted Average Cost of Capital หรือ WACC) ซึ่งต้นทุนของหนี้สามารถแยกเป็น ก่อนภาษี และ หลังภาษี ตามรายละเอียดด้านล่าง:
ต้นทุนของหนี้ก่อนภาษี (Before-tax Cost of Debt)
ต้นทุนของหนี้ก่อนภาษีหมายถึง ดอกเบี้ยทั้งหมดที่บริษัทต้องจ่ายให้กับเจ้าหนี้ (ธนาคาร ผู้ถือหุ้นกู้ หรือสถาบันการเงิน) โดยไม่คำนึงถึงประโยชน์ทางภาษี
ตัวอย่างสถานการณ์:
บริษัท A กู้เงิน 10 ล้านบาท โดยมีอัตราดอกเบี้ย 6% ต่อปี
ดังนั้น ต้นทุนของหนี้ก่อนภาษี = หรือ 600,000 บาทต่อปี
สูตรคำนวณต้นทุนของหนี้ก่อนภาษี:
Before-tax\ Cost\ of\ Debt = \frac{ดอกเบี้ยจ่ายทั้งหมด}{เงินกู้ทั้งหมด}
Before-tax\ Cost\ of\ Debt = \frac{500,000}{10,000,000} = 5\%
---
ต้นทุนของหนี้หลังภาษี (After-tax Cost of Debt)
ความสำคัญ: เนื่องจากในหลายประเทศ (รวมถึงประเทศไทย) กฎหมายอนุญาตให้นำ ดอกเบี้ยจ่าย ไปหักลดหย่อนภาษีได้ ต้นทุนที่แท้จริงที่บริษัทแบกรับจึงลดลง
สูตรคำนวณต้นทุนของหนี้หลังภาษี:
After-tax\ Cost\ of\ Debt = Before-tax\ Cost\ of\ Debt \times (1 - อัตราภาษี)
บริษัทจ่ายดอกเบี้ย 6% และอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลเท่ากับ 20%
After-tax\ Cost\ of\ Debt = 6\% \times (1 - 0.2) = 4.8\%
---
ตัวอย่างการเปรียบเทียบ Before-tax กับ After-tax Cost of Debt
---
2. เหตุผลว่าทำไมต้องแยก Before-tax และ After-tax Cost of Debt
การแยกต้นทุนก่อนและหลังภาษีสำคัญเนื่องจาก:
เหตุผลที่ 1: ด้านการวิเคราะห์ทางการเงิน
Before-tax Cost of Debt:
ใช้เพื่อคำนวณและประเมินภ
ก่อนคิดภาษี ใช้ในกรณีที่ต้องการวิเคราะห์ภาระหนี้ที่บริษัทต้องจ่ายจริงโดยไม่พิจารณาสิทธิประโยชน์ทางภาษี
หลังคิดภาษี: ใช้ในการประเมินต้นทุนที่แท้จริงหลังจากได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี เป็นข้อมูลสำคัญในกระบวนการตัดสินใจลงทุนและการจัดโครงสร้างเงินทุนของบริษัท