Reflection: Display Mode

ความเสี่ยงของตราสารหนี้ มีความเสี่ยงอะไรบ้าง

1. ความเสี่ยงด้านเครดิต (Credit Risk): เป็นความเสี่ยงที่ผู้ออกตราสารหนี้ (เช่น บริษัทหรือรัฐบาล) อาจไม่สามารถชำระดอกเบี้ยหรือเงินต้นตามกำหนดได้ หากผู้ออกตราสารมีสถานะทางการเงินอ่อนแอ ความเสี่ยงนี้จะสูงขึ้น 2. ความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย (Interest Rate Risk): เมื่ออัตราดอกเบี้ยในตลาดเพิ่มขึ้น ราคาของตราสารหนี้ในตลาดรองมักจะลดลง ทำให้นักลงทุนอาจขายตราสารหนี้ได้ราคาต่ำกว่าที่ซื้อมา 3. ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง (Liquidity Risk): หากตราสารหนี้ที่ถืออยู่มีการซื้อขายน้อยในตลาด นักลงทุนอาจไม่สามารถขายตราสารหนี้ได้ในเวลาที่ต้องการ หรือขายได้ในราคาที่ไม่เหมาะสม 4. ความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อ (Inflation Risk): หากอัตราเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้น มูลค่าที่แท้จริงของดอกเบี้ยและเงินต้นที่ได้รับอาจลดลง 5. ความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระหนี้ (Default Risk): เกิดขึ้นเมื่อผู้ออกตราสารหนี้ไม่สามารถชำระดอกเบี้ยหรือเงินต้นได้ 6. ความเสี่ยงด้านสกุลเงิน (Currency Risk): หากตราสารหนี้ออกในสกุลเงินต่างประเทศ การเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนอาจส่งผลต่อมูลค่าและผลตอบแทนของตราสาร 7. ความเสี่ยงด้านตลาด (Market Risk): ราคาตราสารหนี้อาจผันผวนตามสภาวะตลาด เช่น ภาวะเศรษฐกิจหรือการเปลี่ยนแปลงในนโยบายการเงิน 8. ความเสี่ยงจากการถูกเรียกคืนก่อนกำหนด (Call Risk): ตราสารหนี้บางประเภทอาจถูกเรียกคืนโดยผู้ออกก่อนวันครบกำหนด ทำให้นักลงทุนสูญเสียโอกาสที่จะได้รับดอกเบี้ยที่สูงในอนาคต
1. ความเสี่ยงด้านเครดิต (Credit Risk) ความเสี่ยงที่ผู้ออกตราสารหนี้อาจไม่สามารถชำระดอกเบี้ยหรือเงินต้นตามกำหนดได้ ตราสารหนี้ที่ออกโดยบริษัทเอกชนหรือองค์กรที่มีอันดับเครดิตต่ำจะมีความเสี่ยงสูงกว่า 2. ความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย (Interest Rate Risk) เมื่ออัตราดอกเบี้ยในตลาดเพิ่มขึ้น มูลค่าของตราสารหนี้ในตลาดจะลดลง ตราสารหนี้ระยะยาวจะได้รับผลกระทบจากความเสี่ยงนี้มากกว่าตราสารหนี้ระยะสั้น
1. ความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ ระดับความสำคัญ : สำคัญที่สุด " หน้าตาอย่างนี้ จะเบี้ยวหนี้เรามั้ยหนอ? " 2. ความเสี่ยงของอัตราดอกเบี้ย ระดับความสำคัญ : สำคัญมากๆ " ดอกเบี้ยขึ้น ราคาร่วง ขายขาดทุน " 3. ความเสี่ยงจากสภาพคล่อง ระดับความสำคัญ : สำคัญ " อยากขายเหรอ แต่ฉันไม่อยากซื้อ " 4. ความเสี่ยงจากเงินเฟือ ระดับความสำคัญ : สำคัญ " ได้เงินครบ แต่ซื้อของได้น้อยจัง " 5. ความเสี่ยงจากการนำเงินไปลงทุนต่อ ระดับความสำคัญ : ควรให้ความสำคัญ " อยากได้ดอกเบี้ยสูงๆอย่างที่เคยได้ ไม่มีเลยเหรอ
สำหนับผู้ลงทุน มีความเสี่ยงด้านMYTลดลงทำให้นักลงทุนขสดทุนเมื่อขายให้ผู้อื่นก่อนวันกำหนด บริษัทไม่สามารถจ่ายคืนผู้ลงทุน สำหรับบริษัทออกตราสารหนี้คือไม่มีผู้ลงทุนมาซื้อ เงินแข็งค่า
สำหนับผู้ลงทุน มีความเสี่ยงด้านMYTลดลงทำให้นักลงทุนขสดทุนเมื่อขายให้ผู้อื่นก่อนวันกำหนด บริษัทไม่สามารถจ่ายคืนผู้ลงทุน
ความเสี่ยงในการลงทุนตราสารหนี้ มี 5 ส่วน ได้แก่ 1. ความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ (Credit/Default Risk) 2. ความเสี่ยงจากสภาพคล่อง (Liquidity Risk) 3. ความเสี่ยงของอัตราดอกเบี้ย (Interest rate Risk) 4. ความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ (Inflation Risk) 5. ความเสี่ยงจากการนำเงินไปลงทุนต่อ (Reinvestment Risk)
1. ความเสี่ยงด้านเครดิต (Credit Risk) 2. ความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย (Interest Rate Risk) 3. ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง (Liquidity Risk) 4. ความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อ (Inflation Risk) 5. ความเสี่ยงด้านการเรียกคืนก่อนกำหนด (Call Risk) 6. ความเสี่ยงจากการแปลงสกุลเงิน (Currency Risk) 7. ความเสี่ยงด้านการผิดนัดชำระหนี้ (Default Risk) 8. ความเสี่ยงด้านการลงทุนซ้ำ (Reinvestment Risk) 9. ความเสี่ยงด้านประเทศหรือการเมือง (Country/Political Risk)
1 ความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระหนี้ 2 ความเสี่ยงจากสภาพคล่อง 3 ความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ย 4 ความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ 5 ความเสี่ยงจากการนำเงินไปลงทุนต่อ
ตราสารหนี้ (Debt Securities) มีความเสี่ยง 1. ความเสี่ยงด้านเครดิต (Credit Risk) เป็นความเสี่ยงที่ผู้ออกตราสารหนี้อาจผิดนัดชำระหนี้ (Default) หรือไม่สามารถจ่ายดอกเบี้ยหรือเงินต้นคืนได้ตามกำหนดเวลา 2. ความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย (Interest Rate Risk) ราคาของตราสารหนี้มักมีความสัมพันธ์ผกผันกับอัตราดอกเบี้ยในตลาด หากอัตราดอกเบี้ยในตลาดเพิ่มขึ้น ราคาของตราสารหนี้ที่ถือจะลดลง 3. ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง (Liquidity Risk) ความเสี่ยงที่นักลงทุนอาจไม่สามารถขายตราสารหนี้ในตลาดรองได้ในราคาที่เหมาะสม หรือต้องขายในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าจริง 4. ความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อ (Inflation Risk) มูลค่าที่แท้จริงของดอกเบี้ยหรือเงินต้นที่ได้รับอาจลดลง หากเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นสูงกว่าดอกเบี้ยที่ตราสารหนี้จ่าย 5. ความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน (Exchange Rate Risk) ในกรณีที่ลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศ ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนอาจส่งผลกระทบต่อมูลค่าของการลงทุน 6. ความเสี่ยงจากการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ (Downgrade Risk) เมื่อบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือปรับลดอันดับของผู้ออกตราสารหนี้ จะส่งผลให้ราคาตราสารหนี้ลดลง 7. ความเสี่ยงด้านการชำระคืนก่อนกำหนด (Prepayment Risk) ในกรณีที่ผู้ออกตราสารหนี้ชำระคืนเงินต้นก่อนกำหนด อาจทำให้นักลงทุนเสียโอกาสได้รับดอกเบี้ยที่สูงในระยะยาว
1.ความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ 2.ความเสี่ยงสภาพคล่อง 3.ความเสี่ยงของอัตราดอกเบี้ย 4.ความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ 5.ความเสี่ยงจากการนำเงินไปลงทุนต่อ
1. ความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ (Credit/Default Risk)ความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ เป็นความเสี่ยงที่บริษัทผู้ออกตราสารหนี้เกิดวิกฤติ ที่ทำให้ไม่สามารถชำระดอกเบี้ยหรือเงินต้นคืนได้ ทำให้นักลงทุนอาจจะไม่ได้รับเงินคือ หรือได้รับไม่เต็มจำนวน 2. ความเสี่ยงจากสภาพคล่อง (Liquidity Risk) เกิดขึ้นจากการที่ตราสารหนี้นั้นไม่มีสภาพคล่องในตลาดในกรณีที่นักลงทุนต้องการจะขายตราสารหนี้ ก็อาจขายไม่ได้ในเวลาที่ต้องการ หรือขายไม่ได้ ณ ราคาที่ต้องการ เช่น ราคาที่ขายจริงต่ำกว่าราคาที่ควรจะเป็น 3. ความเสี่ยงของอัตราดอกเบี้ย (Interest rate Risk)ความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ยคือ ความเสี่ยงจากการที่ราคาตราสารหนี้จะลดลงเมื่ออัตราดอกเบี้ยเปลี่ยนแปลง เนื่องจากราคาตราสารหนี้จะแปรผกผันกับอัตราดอกเบี้ยแต่ถ้าถือตราสารจนครบกำหนดอายุ จะไถ่ถอนได้ตามราคาหน้าตั๋วเสมอ ดังนั้นนักลงทุนสามารถหลีกเลี่ยงความเสี่ยงนี้ได้โดยการถือตราสารจนครบกำหนดอายุ 4. ความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ (Inflation Risk) คือ หากลงทุนในตราสารหนีที่ให้ผลตอบแทนคงที่ ในขณะที่เงินเฟ้อสูงขึ้นเรื่อยๆ จะส่งผลให้อัตราผลตอบแทนที่แท้จริงลดลงความเสี่ยงนี้อาจหลีกเลี่ยงได้ โดยการลงทุนในตราสารหนี้ชดเชยเงินเฟ้อ หรือตราสารหนี้อัตราดอกเบี้ยลอยตัว เป็นต้น 5. ความเสี่ยงจากการนำเงินไปลงทุนต่อ (Reinvestment Risk)เกิดขึ้นในกรณีที่นักลงทุนได้รับเงินต้นหรือดอกเบี้ยแล้วนำไปลงทุนต่อได้ที่อัตราดอกเบี้ยต่ำลงเป็นความเสี่ยงที่มีน้ำหนักมากขึ้นในช่วงดอกเบี้ยขาลง และการลงทุนใน Callable Bond ที่เมื่ออัตราดอกเบี้ยลดลง ผู้ออกจึงมักใช้สิทธิไถ่ถอนตราสารก่อนกำหนด เพื่อลดต้นทุนการจ่ายดอกเบี้ย และทำการออกตราสารหนี้ชุดใหม่ทดแทน ในอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่า ทำให้นักลงทุนเกิดความเสี่ยงในการนำเอาเงินไปลงทุนต่อในผลตอบแทนที่ลด
1. ความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย 2. ความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อ 3.ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง 4.ความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน 5.ความเสี่ยงด้านการชำระเงินก่อนกำหนด 6.ความเสี่ยงด้านกฎระเบียบ เช่น การเปลี่ยนแปลงนโยบายภาษี
1)ความเสี่ยงในความผิดชำระหนี้ 2) ความเสี่ยงจากสภาพคล่อง 3) ความเสี่ยงของอัตราดอกเบี้ย 4) ความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ 5) ความเสี่ยงจากการนำเงินไปลงทุนต่อ
ความเสี่ยงด้านระยะเวลาการครบกำหนดของผู้ถือตราสาร ที่ยังไม่สามารถถอดเงินได้ก่อนกำหนด หรือ อาจจะถูกค่าปรับตามเงื่อนไข หรือ ความมั่นคงของบริษัทที่ออกตราสารในอนาคตมีการเปลี่ยนแปลงตามภาวะเศรษฐกิจทำให้ อัตราการจ่ายดอกเบี้ยอาจจมีการเปลี่ยนแปลง หรือ เสี่ยงต่อการได้เงินลงทุนคืนในอัตราผลตอบแทนที่ต่ำลง
ความเสี่ยงด้านเครดิต ความเสี่ยงออัตราดอกเบี้ย ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง ความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อ ความด้านอัตราแลกเปลี่ยน ความเสี่ยงจากการถูกไถ่ถอนก่อนกำหนด ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์
1. ความเสี่ยงด้านเครดิต (Credit Risk) 2. ความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย (Interest Rate Risk) 3. ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง (Liquidity Risk) 4. ความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อ (Inflation Risk) 5. ความเสี่ยงด้านการปรับลดอันดับเครดิต (Rating Downgrade Risk) 6. ความเสี่ยงด้านการผิดนัดชำระหนี้ (Default Risk) 7. ความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน (Currency Risk) 8. ความเสี่ยงด้านการเรียกคืนก่อนกำหนด (Call Risk) 9. ความเสี่ยงด้านตลาด (Market Risk) 10. ความเสี่ยงด้านการลงทุนซ้ำ (Reinvestment Risk)
ตราสารหนี้ หรือ "Bonds" นั้นถือว่าเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงน้อยกว่าหุ้นแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีความเสี่ยงเลยนะครับ ต่อไปนี้เป็นความเสี่ยงหลักที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนในตราสารหนี้: 1. **ความเสี่ยงด้านเครดิต**: ความเสี่ยงที่ผู้ออกตราสารหนี้จะไม่สามารถชำระเงินต้นหรือดอกเบี้ยตามกำหนดได้ ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้หากผู้ออกตราสารหนี้มีปัญหาทางการเงิน 2. **ความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย**: เมื่ออัตราดอกเบี้ยในตลาดเพิ่มขึ้น มูลค่าของตราสารหนี้ที่ถืออยู่ในปัจจุบันจะลดลง เนื่องจากนักลงทุนจะให้ความสำคัญกับการลงทุนที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่า 3. **ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง**: ความยากลำบากในการขายตราสารหนี้ในตลาดเมื่อคุณต้องการเงินสดโดยเฉพาะในภาวะตลาดที่ไม่มีความแน่นอน 4. **ความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อ**: หากอัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น มูลค่าของเงินที่คุณได้รับจากดอกเบี้ยตราสารหนี้ก็จะลดลงเนื่องจากค่าเงินที่ลดลง 5. **ความเสี่ยงด้านการถูกเรียกคืนก่อนกำหนด**: ผู้ออกตราสารหนี้อาจเรียกคืนตราสารก่อนวันครบ
1.ความเสี่ยงด้านเครดิต 2.ควาทเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย 3.ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง 4.ความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อ 5.ความเสี่ยงด้านการชำระหนี้ก่อนกำหนด 6.ความเสี่ยงด้านการปรับโครงสร้างหนี้ 7.ความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน 8.ความเสี่ยงด้านกฏหมาย 9.ความเสี่ยงด้านการตลาด
1. ความเสี่ยงของผู้ออกตราสารหนี้ 2. ความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ย 3. ความเสี่ยงจากสภาพคล่องของผู้ซื้อ
ความเสี่ยงของตราสารหนี้ในประเทศไทย (หรือในบริบททั่วไป) สามารถแบ่งออกเป็นหลายประเภทหลัก ๆ ดังนี้: 1. ความเสี่ยงด้านเครดิต (Credit Risk) ความเสี่ยงที่ผู้ออกตราสารหนี้จะไม่สามารถชำระดอกเบี้ยหรือเงินต้นคืนได้ตามกำหนด ตราสารหนี้ที่มี อันดับความน่าเชื่อถือต่ำ จะมีความเสี่ยงด้านเครดิตสูง เช่น ตราสารหนี้ที่ออกโดยบริษัทขนาดเล็กหรือที่สถานะทางการเงินไม่แข็งแกร่ง 2. ความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย (Interest Rate Risk) เมื่ออัตราดอกเบี้ยในตลาดเพิ่มขึ้น ราคาของตราสารหนี้ที่ถืออยู่จะลดลง เนื่องจากอัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้กลายเป็นไม่จูงใจเทียบกับอัตราดอกเบี้ยใหม่ในตลาด 3. ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง (Liquidity Risk) ความเสี่ยงที่นักลงทุนไม่สามารถขายตราสารหนี้ได้ทันทีในราคาที่เหมาะสม เนื่องจากตลาดขาดความคล่องตัวหรือมีผู้ซื้อจำนวนน้อย 4. ความเสี่ยงด้านตลาด (Market Risk) ความผันผวนในตลาดตราสารหนี้ เช่น ผลกระทบจากเศรษฐกิจ การเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย หรือสถานการณ์การเมือง 5. ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (Exchange Rate Risk) หากลงทุนในตราสารหนี้สกุลเงินต่างประเทศ ความผันผวนของค่าเงินอาจส่งผลต่อมูลค่าการลงทุน 6. ความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อ (Inflation Risk) เมื่ออัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น อัตราผลตอบแทนที่แท้จริงจากตราสารหนี้อาจลดลง 7. ความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระหนี้ของรัฐบาล (Sovereign Risk) ในกรณีที่ลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐ ความไม่มั่นคงทางการเมืองหรือการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจอาจส่งผลต่อความสามารถในการชำระหนี้ของรัฐบาล 8. ความเสี่ยงเฉพาะของผู้ออกตราสาร (Issuer-Specific Risk) หากบริษัทหรือองค์กรที่ออกตราสารหนี้ประสบปัญหาด้านการดำเนินงาน อาจส่งผลต่อความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ยและเงินต้น
ความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย ที่เพิ่มขึ้นทำให้มูลค่าตราสารลดลง ความเสี่ยงด้านตลาด มูลค่าตราสารผันผวนตามปัจจัยเศรษฐกิจและการเมือง ความเสี่ยงการชำระคืนก่อนกำหนด สูญเสียโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีกว่า ความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน ค่าเงินผันผวนส่งผลต่อมูลค่าตราสาร
ความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย (Interest Rate Risk) ความเสี่ยงด้านเครดิต (Credit Risk) ความเสี่ยงจากอัตราเงินเฟ้อ (Inflation Risk) ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง (Liquidity Risk) ความเสี่ยงด้านการเปลี่ยนแปลงของเครดิตในภาครัฐ (Sovereign Risk) ความเสี่ยงด้านสกุลเงิน (Currency Risk) ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงในนโยบายภาครัฐ (Regulatory Risk)
ตราสารหนี้ (Fixed Income Instruments) มีความเสี่ยงหลายประเภทที่นักลงทุนควรพิจารณาก่อนตัดสินใจลงทุน โดยสามารถแบ่งได้ดังนี้: 1. ความเสี่ยงด้านเครดิต (Credit Risk) • ความเสี่ยงที่ผู้ออกตราสารหนี้ (เช่น บริษัทเอกชน หรือรัฐบาล) อาจไม่สามารถชำระดอกเบี้ยหรือคืนเงินต้นได้ตามกำหนด • ตราสารหนี้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือต่ำ (เช่น ตราสารหนี้ที่เรียกว่า “Junk Bond”) มีความเสี่ยงด้านเครดิตสูงกว่า 2. ความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย (Interest Rate Risk) • เมื่ออัตราดอกเบี้ยในตลาดปรับตัวสูงขึ้น มูลค่าตราสารหนี้ในตลาดรองจะลดลง • ส่งผลกระทบโดยตรงต่อนักลงทุนที่ต้องการขายตราสารหนี้ก่อนครบกำหนด 3. ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง (Liquidity Risk) • ความเสี่ยงที่นักลงทุนอาจไม่สามารถขายตราสารหนี้ได้ในราคาที่เหมาะสมหรือขายไม่ได้ในช่วงเวลาที่ต้องการ • ตราสารหนี้ของบริษัทขนาดเล็กหรือที่มีการซื้อขายน้อยมักมีสภาพคล่องต่ำ 4. ความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน (Currency Risk) • หากตราสารหนี้ที่ลงทุนเป็นสกุลเงินต่างประเทศ อาจมีความเสี่ยงที่อัตราแลกเปลี่ยนเปลี่ยนแปลง ทำให้ผลตอบแทนลดลง • มักเกิดขึ้นกับนักลงทุนที่ลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศ 5. ความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อ (Inflation Risk) • เมื่อเงินเฟ้อสูงขึ้น มูลค่าที่แท้จริงของดอกเบี้ยและเงินต้นที่ได้รับอาจลดลง • ตราสารหนี้ที่มีดอกเบี้ยคงที่ (Fixed Coupon) จะได้รับผลกระทบมากกว่า 6. ความเสี่ยงด้านการผิดนัดชำระหนี้ (Default Risk) • เป็นความเสี่ยงที่ผู้ออกตราสารหนี้ไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามสัญญา ซึ่งอาจเกิดจากปัญหาทางการเงินหรือปัญหาการบริหารจัดการ 7. ความเสี่ยงด้านตลาด (Market Risk) • ความผันผวนของราคาตราสารหนี้ในตลาดอาจทำให้ราคาลดลง โดยเฉพาะในภาวะที่ตลาดมีความไม่แน่นอน 8. ความเสี่ยงด้านการออกตราสารใหม่ (Reinvestment Risk) • หากตราสารหนี้ครบกำหนดชำระในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยลดลง นักลงทุนอาจต้องลงทุนในตราสารใหม่ที่ให้ผลตอบแทนต่ำกว่า 9. ความเสี่ยงด้านกฎหมายและข้อบังคับ (Regulatory Risk) • กฎระเบียบหรือข้อบังคับที่เปลี่ยนแปลงอาจส่งผลต่อการลงทุน เช่น การเก็บภาษีที่เพิ่มขึ้น หรือการควบคุมด้านการเงินของรัฐบาล การจัดการความเสี่ยงเหล่านี้สามารถทำได้โดยการกระจายการลงทุน (Diversification) และการเลือกลงทุนในตราสารหนี้ที่เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
1. ความเสี่ยงด้านเครดิต ความเสี่ยงที่ผู้ออกตราสารหนี้จะไม่สามารถชำระดอกเบี้ยหรือเงินต้นได้ตามกำหนด 2. ความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย ราคาตราสารหนี้มีความสัมพันธ์ผกผันกับอัตราดอกเบี้ย 3. ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง ความเสี่ยงที่ไม่สามารถขายตราสารหนี้ได้ในราคาที่เหมาะสมหรือภายในระยะเวลาที่ต้องการ 4. ความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อ หากอัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น มูลค่าที่แท้จริงของดอกเบี้ยและเงินต้นที่ได้รับจากตราสารหนี้จะลดลง 5.ความเสี่ยงด้านการจัดการ เกิดจากการบริหารงานของผู้ออกตราสารหนี้ เช่น ปัญหาด้านการเงิน การดำเนินงาน หรือกลยุทธ์ที่ล้มเหลว
ความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ย (Interest Rate Risk): เมื่ออัตราดอกเบี้ยในตลาดปรับตัวสูงขึ้น ราคาของตราสารหนี้จะลดลง เนื่องจากผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนที่ต่ำกว่าเมื่อเทียบกับอัตราดอกเบี้ยใหม่ในตลาด ความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระ (Credit Risk หรือ Default Risk): ความเสี่ยงที่ผู้ออกตราสารหนี้ (เช่น บริษัทหรือรัฐบาล) จะไม่สามารถชำระเงินต้นหรือดอกเบี้ยได้ตามกำหนด ความเสี่ยงจากอัตราเงินเฟ้อ (Inflation Risk): หากอัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น ความสามารถในการซื้อของเงินที่ได้รับจากตราสารหนี้จะลดลง ซึ่งทำให้ผลตอบแทนที่ได้จากตราสารหนี้ลดลง ความเสี่ยงจากการแลกเปลี่ยน (Currency Risk): สำหรับตราสารหนี้ที่ออกในสกุลเงินต่างประเทศ หากสกุลเงินที่ตราสารหนี้ออกมีความผันผวน มูลค่าของการชำระดอกเบี้ยหรือเงินต้นอาจเปลี่ยนแปลงตามการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน ความเสี่ยงจากสภาพคล่อง (Liquidity Risk): ความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนไม่สามารถขายตราสารหนี้ได้ในราคาที่เหมาะสมหากต้องการขายก่อนวันครบกำหนด ความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนในตลาด (Market Risk): ความเสี่ยงที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงในสภาวะตลาดโดยรวม เช่น การเปลี่ยนแปลงของนโยบายการเงิน การเมือง หรือเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด
ความเสี่ยงด้านดอกเบี้ยราคาดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นราคาตราสารหนี้จะลดลง ความเสี่ยงจากอัตราผลตอบแทนการลงทุนใหม่ในอัตราที่ดอกเบี้ยต่ำกว่าผลตอบแทนที่คาดหวังจากการลงทุนเดิม ความเสี่ยงทางด้านเครดิตที่ผู้ออกตราสารหนี้ไม่สามารถชำระดอกเบี้ยหรือคืนเงินต้นได้ตามที่สัญญาไว้ ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง ตราสารหนี้มีตลาดรองรับการซื้อขายที่ไม่ดีนักลงทุนอาจไม่สามารถขายตราสารหนี้ได้ในราคาที่เหมาะสม
1 เครดิต: ผู้ออกผิดนัดชำระเงิน 2 ดอกเบี้ย: ดอกเบี้ยเพิ่ม ราคาลด 3 สภาพคล่อง: ขายต่อได้ยาก 4 เงินเฟ้อ: มูลค่าผลตอบแทนลดลง 5 ค่าเงิน: ค่าเงินผันผวน (ถ้าลงทุนต่างประเทศ)
ตราสารหนี้นั้นอาจจะเกิดปัญหาไม่ว่าจากภายนอกหรือภายในที่อาจทำให้ได้เงินไม่ตามเป้าหมาย
1.ความเสี่ยงด้านเครดิต 2. ความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย 3. ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง 4. ความเสี่ยงด้านการคูณดอกเบี้ย 5. ความเสี่ยงด้านการเปลี่ยนแปลงอัตราเงินตรา 6. ความเสี่ยงด้านภาษี 7. ความเสี่ยงด้านการผิดสัญญาหรือปรับเปลี่ยนโครงสร้างหนี้
ความเสี่ยงของอัตราส่วนหนี้สิน (Debt Ratios) เกี่ยวข้องกับการประเมินภาระหนี้และความสามารถในการจัดการหนี้ขององค์กรหรือบุคคล ความเสี่ยงหลักๆ ที่เกี่ยวข้องมีดังนี้: ### 1. **ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง (Liquidity Risk)** - หากองค์กรหรือบุคคลมีอัตราส่วนหนี้สินสูง อาจทำให้ขาดสภาพคล่อง เนื่องจากต้องนำเงินสดไปชำระดอกเบี้ยหรือเงินต้น แทนที่จะใช้ในกิจกรรมที่สร้างรายได้หรือขยายธุรกิจ - ตัวอย่าง: บริษัทที่มีภาระหนี้สูง อาจไม่สามารถจัดหาเงินทุนเพียงพอเพื่อรองรับค่าใช้จ่ายในระยะสั้นได้ ### 2. **ความเสี่ยงด้านดอกเบี้ย (Interest Rate Risk)** - หากอัตราดอกเบี้ยในตลาดปรับตัวสูงขึ้น ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยของหนี้ที่เป็นดอกเบี้ยลอยตัว (Floating Rate) จะเพิ่มขึ้น ทำให้ภาระการชำระหนี้หนักขึ้น - ตัวอย่าง: บริษัทที่กู้ยืมเงินในช่วงที่ดอกเบี้ยต่ำ อาจประสบปัญหาหนี้สินเพิ่มขึ้นเมื่ออัตราดอกเบี้ยปรับตัวขึ้น ### 3. **ความเสี่ยงด้านความสามารถในการชำระหนี้ (Default Risk)** - หากองค์กรหรือบุคคลไม่สามารถสร้างรายได้เพียงพอในการชำระหนี้ อาจทำให้เกิดการผิดนัดชำระหนี้ (Default) ซึ่งส่งผลเสียต่อชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือ - ตัวอย่าง: การชำระหนี้ไม่ตรงเวลาอาจทำให้เกิดปัญหาทางกฎหมายและถูกฟ้องร้อง ### 4. **ความเสี่ยงด้านโครงสร้างหนี้ (Debt Structure Risk)** - โครงสร้างหนี้ที่ไม่เหมาะสม เช่น การใช้หนี้ระยะสั้นมากเกินไป อาจทำให้เกิดความกดดันด้านการชำระหนี้ในระยะเวลาอันสั้น - ตัวอย่าง: การกู้ยืมที่มีการกำหนดชำระคืนพร้อมกันในระยะเวลาสั้นอาจทำให้องค์กรขาดทุนหมุนเวียน ### 5. **ความเสี่ยงจากการลดอันดับเครดิต (Credit Rating Risk)** - องค์กรที่มีภาระหนี้สูง อาจถูกลดอันดับเครดิตจากหน่วยงานประเมินเครดิต ทำให้ต้นทุนการกู้ยืมสูงขึ้นและการระดมทุนในอนาคตทำได้ยากขึ้น - ตัวอย่าง: การลดอันดับเครดิตอาจส่งผลให้เกิดการไหลออกของนักลงทุน ### 6. **ความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม (Economic and Industry Risk)** - ความผันผวนทางเศรษฐกิจหรือการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมที่องค์กรดำเนินงานอยู่ อาจลดความสามารถในการสร้างรายได้เพื่อชำระหนี้ - ตัวอย่าง: การชะลอตัวของเศรษฐกิจอาจทำให้ยอดขายลดลง ส่งผลต่อความสามารถในการชำระหนี้ ### 7. **ความเสี่ยงจากสัดส่วนหนี้สินต่อทุน (Debt-to-Equity Risk)** - อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ที่สูงแสดงถึงการพึ่งพิงหนี้มากกว่าทุน อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการล้มละลาย - ตัวอย่าง: บริษัทที่มีหนี้สูงเกินไปอาจสูญเสียความยืดหยุ่นในการจัดการเงินทุนในช่วงวิกฤติ **การบริหารความเสี่ยง:** องค์กรหรือบุคคลควรติดตามและปรับสมดุลอัตราส่วนหนี้สินอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการจัดการสัดส่วนระหว่างหนี้สินและทุน พร้อมวางแผนลดหนี้หรือปรับโครงสร้างหนี้หากจำเป็น เพื่อป้องกันปัญหาในอนาคต.
ความเสี่ยงของตราสารหนี้ 1. ความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระหนี้: ผู้ออกตราสารหนี้ไม่สามารถจ่ายดอกเบี้ยหรือคืนเงินต้นได้ 2. ความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ย: ดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นทำให้มูลค่าตราสารลดลง 3. ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง: ขายตราสารไม่ได้ในราคาที่ต้องการ 4. ความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน: ค่าเงินเปลี่ยน ส่งผลต่อผลตอบแทน 5. ความเสี่ยงจากอันดับเครดิต: อันดับเครดิตลด ทำให้ตราสารเสี่ยงขึ้น 6. ความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ: เงินเฟ้อสูง ลดค่าผลตอบแทนจริง 7. ความเสี่ยงจากการชำระคืนก่อนกำหนด: ผู้ออกชำระหนี้ก่อน ทำให้นักลงทุนเสียโอกาส 8. ความเสี่ยงจากเหตุการณ์เฉพาะ: เช่น นโยบายรัฐ หรือเหตุฉุกเฉินที่กระทบผู้ออกตราสาร
1. ความเสี่ยงด้านเครดิต (Credit Risk) เป็นความเสี่ยงที่ผู้ออกตราสารหนี้ไม่สามารถจ่ายดอกเบี้ยหรือคืนเงินต้นตามกำหนดได้ เช่น การผิดนัดชำระหนี้ (Default). ตราสารหนี้ที่มีเครดิตเรตติ้งต่ำ เช่น "Junk Bonds" มักมีความเสี่ยงด้านนี้สูง. 2. ความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย (Interest Rate Risk) ราคาของตราสารหนี้มีความสัมพันธ์ผกผันกับอัตราดอกเบี้ยในตลาด เมื่ออัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น ราคาตราสารหนี้จะลดลง และในทางกลับกัน. 3. ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง (Liquidity Risk) เป็นความเสี่ยงที่ไม่สามารถขายตราสารหนี้ได้ในราคาที่เหมาะสมหรือในเวลาที่ต้องการ. ตราสารหนี้ที่มีการซื้อขายในตลาดน้อยจะมีความเสี่ยงนี้สูง. 4. ความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อ (Inflation Risk) หากอัตราเงินเฟ้อเพิ่มสูงกว่าผลตอบแทนจากตราสารหนี้ มูลค่าที่แท้จริงของผลตอบแทนจะลดลง. มีผลกระทบโดยเฉพาะกับตราสารหนี้ที่ให้ดอกเบี้ยคงที่ (Fixed-Rate Bonds). 5. ความเสี่ยงด้านการบริหารจัดการ (Management Risk) หากลงทุนในตราสารหนี้ผ่านกองทุนรวม ความสามารถของผู้จัดการกองทุนอาจส่งผลต่อผลตอบแทน. 6. ความเสี่ยงด้านสกุลเงิน (Currency Risk) หากลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศ ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนอาจส่งผลต่อผลตอบแทน. 7. ความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจและการเมือง (Economic and Political Risk) สภาพเศรษฐกิจที่ถดถอยหรือปัญหาทางการเมืองในประเทศผู้ออกตราสารหนี้ อาจส่งผลให้เกิดความผันผวนหรือการผิดนัดชำระหนี้.
1. ความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระหนี้ (Default Risk) ความเสี่ยงที่ผู้ออกตราสารหนี้จะไม่สามารถจ่ายดอกเบี้ยหรือคืนเงินต้นตามที่ตกลงได้ เช่น ผู้ออกตราสารล้มละลาย 2. ความเสี่ยงด้านตลาด (Market Risk) ราคาตราสารหนี้สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามภาวะตลาด โดยเฉพาะอัตราดอกเบี้ย ซึ่งมีผลโดยตรงต่อราคาของตราสารหนี้ หากอัตราดอกเบี้ยในตลาดเพิ่มขึ้น ราคาตราสารหนี้จะลดลง หากอัตราดอกเบี้ยลดลง ราคาตราสารหนี้จะเพิ่มขึ้น 3. ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง (Liquidity Risk) ความเสี่ยงที่นักลงทุนจะไม่สามารถขายตราสารหนี้ได้ในเวลาที่ต้องการ หรือขายได้แต่ในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็น 4. ความเสี่ยงด้านอัตราเงินเฟ้อ (Inflation Risk) หากอัตราเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้น มูลค่าที่แท้จริงของดอกเบี้ยและเงินต้นที่จะได้รับคืนจะลดลง 5. ความเสี่ยงจากการปรับลดอันดับเครดิต (Credit Rating Risk) หากสถาบันจัดอันดับเครดิตลดอันดับความน่าเชื่อถือของผู้ออกตราสารหนี้ ราคาตราสารหนี้อาจลดลง 6. ความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน (Exchange Rate Risk) กรณีลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศ ความผันผวนของค่าเงินอาจส่งผลต่อผลตอบแทนที่ได้รับ 7. ความเสี่ยงจากการถูกเรียกคืนตราสารก่อนกำหนด (Call Risk) ผู้ออกตราสารหนี้อาจใช้สิทธิเรียกคืนตราสารก่อนกำหนดเมื่ออัตราดอกเบี้ยในตลาดลดลง ส่งผลให้นักลงทุนเสียโอกาสในการได้รับดอกเบี้ยต่อเนื่อง 8. ความเสี่ยงด้านกฎหมายและข้อบังคับ (Regulatory Risk) การเปลี่ยนแปลงกฎหมายหรือข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกับตราสารหนี้ อาจส่งผลกระทบต่อมูลค่าและสภาพคล่องของตราสาร
1. ความเสี่ยงด้านเครดิต (Credit Risk) เกิดจากความสามารถของผู้ออกตราสารหนี้ (เช่น รัฐบาล บริษัท) ในการชำระดอกเบี้ยหรือเงินต้นคืน หากผู้ออกตราสารหนี้ล้มละลาย นักลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุน 2. ความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย (Interest Rate Risk) ราคาของตราสารหนี้มักเคลื่อนไหวในทิศทางตรงข้ามกับอัตราดอกเบี้ย หากอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น ราคาตราสารหนี้จะลดลง ทำให้เกิดความเสี่ยงหากต้องขายตราสารหนี้ก่อนครบกำหนด 3. ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง (Liquidity Risk) ตราสารหนี้บางประเภทอาจไม่สามารถขายได้ง่ายในตลาดรอง ทำให้นักลงทุนอาจขายตราสารหนี้ได้ในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็น 4. ความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อ (Inflation Risk) หากอัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น มูลค่าที่แท้จริงของดอกเบี้ยที่ได้รับอาจลดลง ส่งผลให้กำไรที่แท้จริงของการลงทุนในตราสารหนี้ลดลง 5. ความเสี่ยงด้านการผิดนัดชำระหนี้ (Default Risk) ตราสารหนี้ที่ออกโดยองค์กรที่มีอันดับเครดิตต่ำมีความเสี่ยงสูงที่จะผิดนัดชำระหนี้ 6. ความเสี่ยงด้านตลาด (Market Risk) ราคาตราสารหนี้อาจผันผวนตามสภาวะตลาด เช่น การเปลี่ยนแปลงของนโยบายการเงิน หรือเศรษฐกิจโลก 7. ความเสี่ยงด้านการออกตราสารใหม่ (Reinvestment Risk) หากได้รับเงินต้นคืนก่อนครบกำหนด (จากการถูกไถ่ถอนก่อนเวลา) นักลงทุนอาจต้องลงทุนใหม่ในตราสารที่ให้ผลตอบแทนต่ำกว่า
ตราสารหนี้ (Debt Instruments) มีความเสี่ยงหลายประเภทที่ผู้ลงทุนควรพิจารณา ซึ่งความเสี่ยงเหล่านี้สามารถส่งผลกระทบต่อผลตอบแทนและมูลค่าของการลงทุนในตราสารหนี้ได้ ได้แก่: 1. ความเสี่ยงด้านเครดิต (Credit Risk) เป็นความเสี่ยงที่ผู้ออกตราสารหนี้ไม่สามารถชำระดอกเบี้ยหรือเงินต้นได้ตามกำหนด มักเกิดกับตราสารหนี้ที่ออกโดยบริษัทหรือองค์กรที่มีอันดับเครดิตต่ำ 2. ความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย (Interest Rate Risk) ราคาตราสารหนี้มีความสัมพันธ์ผกผันกับอัตราดอกเบี้ย หากอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น มูลค่าตราสารหนี้ในตลาดจะลดลง 3. ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง (Liquidity Risk) เป็นความเสี่ยงที่ไม่สามารถขายตราสารหนี้ได้ในราคาที่เหมาะสมเมื่อจำเป็นต้องใช้เงิน พบได้ในตราสารหนี้ที่ไม่มีการซื้อขายในตลาดรอง 4. ความเสี่ยงจากการชำระคืนก่อนกำหนด (Prepayment Risk) เกิดขึ้นเมื่อตราสารหนี้ถูกไถ่ถอนก่อนกำหนด ทำให้ผู้ลงทุนสูญเสียโอกาสในการได้รับดอกเบี้ยในอนาคต 5. ความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อ (Inflation Risk) หากอัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น จะลดค่าความสามารถในการซื้อของผลตอบแทนที่ได้รับจากตราสารหนี้ 6. ความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน (Currency Risk) หากลงทุนในตราสารหนี้ที่เป็นสกุลเงินต่างประเทศ มูลค่าของตราสารหนี้อาจได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน 7. ความเสี่ยงด้านประเทศและการเมือง (Country and Political Risk) เกี่ยวข้องกับความไม่มั่นคงทางการเมือง เศรษฐกิจ หรือกฎหมายในประเทศที่ออกตราสารหนี้ 8. ความเสี่ยงด้านตลาด (Market Risk) เกิดจากความผันผวนของราคาตราสารหนี้ในตลาด ซึ่งอาจได้รับผลกระทบจากปัจจัยต่างๆ เช่น ภาวะเศรษฐกิจ 9. ความเสี่ยงด้านการผิดนัดชำระหนี้ (Default Risk) เป็นความเสี่ยงที่ผู้ออกตราสารหนี้ไม่สามารถชำระเงินต้นหรือดอกเบี้ยได้ แนวทางการลดความเสี่ยง เลือกตราสารหนี้ที่มีอันดับเครดิตดี กระจายการลงทุนในตราสารหนี้หลายประเภท พิจารณาอายุของตราสารหนี้ให้เหมาะสมกับเป้าหมายการลงทุน ศึกษาข้อมูลและติดตามปัจจัยเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้อง
ความเสี่ยงของตราสารหนี้มีอยู่5 ข้อได้แก่ 1. ความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้หนี 2. ความเสี่ยงจากสภาพคล่อง 3. ความเสี่ยงของอัตราดอกเบี้ย 4. ความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ 5. ความเสี่ยงจากการนำเงินไปลงทุนต่อ
ตราสารหนี้ (Debt Instruments) มีความเสี่ยงหลายประการที่นักลงทุนควรพิจารณา ได้แก่: 1. ความเสี่ยงด้านเครดิต (Credit Risk) ความเสี่ยงที่ผู้ออกตราสารหนี้จะไม่สามารถจ่ายดอกเบี้ยหรือคืนเงินต้นตามกำหนดได้ โดยตราสารหนี้ที่มีอันดับเครดิตต่ำจะมีความเสี่ยงด้านเครดิตสูงขึ้น 2. ความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย (Interest Rate Risk) ราคาของตราสารหนี้มักจะผกผันกับการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยในตลาด หากอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น ราคาตราสารหนี้จะลดลง 3. ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง (Liquidity Risk) ความเสี่ยงที่ไม่สามารถขายตราสารหนี้ในตลาดได้ทันทีในราคาที่เหมาะสม โดยเฉพาะตราสารหนี้ที่มีการซื้อขายน้อย 4. ความเสี่ยงด้านตลาด (Market Risk) ราคาตราสารหนี้อาจได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอก เช่น ภาวะเศรษฐกิจ การเมือง หรือสถานการณ์โลก 5. ความเสี่ยงด้านการผิดนัดชำระหนี้ (Default Risk) ความเสี่ยงที่ผู้ออกตราสารหนี้อาจไม่สามารถชำระหนี้ได้เลย 6. ความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน (Exchange Rate Risk) สำหรับตราสารหนี้ที่ออกในสกุลเงินต่างประเทศ การเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนอาจส่งผลต่อมูลค่าการลงทุน 7. ความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อ (Inflation Risk) หากอัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น มูลค่าที่แท้จริงของเงินที่ได้จากดอกเบี้ยและเงินต้นอาจลดลง 8. ความเสี่ยงด้านการลงทุนซ้ำ (Reinvestment Risk) หากตราสารหนี้ครบกำหนดชำระในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยต่ำ ผู้ลงทุนอาจต้องลงทุนใหม่ในอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่า 9. ความเสี่ยงด้านกฎระเบียบ (Regulatory Risk) การเปลี่ยนแปลงของกฎหมายหรือข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกับตราสารหนี้อาจส่งผลกระทบต่อมูลค่าหรือการซื้อขาย
ตราสารหนี้ (Bond) มีความเสี่ยงหลายประเภทที่นักลงทุนควรพิจารณา ซึ่งสามารถแบ่งออกได้ดังนี้: 1. ความเสี่ยงด้านเครดิต (Credit Risk) • คืออะไร: ความเสี่ยงที่ผู้ออกตราสารหนี้จะไม่สามารถชำระดอกเบี้ยหรือเงินต้นได้ตามกำหนด • ตัวอย่าง: บริษัทที่มีอันดับเครดิตต่ำอาจมีโอกาสผิดนัดชำระหนี้สูงกว่า 2. ความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ย (Interest Rate Risk) • คืออะไร: เมื่ออัตราดอกเบี้ยในตลาดเพิ่มขึ้น ราคาตราสารหนี้ในตลาดรองจะลดลง • ตัวอย่าง: หากคุณถือพันธบัตรที่มีอัตราดอกเบี้ยคงที่ 3% และอัตราดอกเบี้ยในตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 5% ราคาของพันธบัตรคุณอาจลดลง 3. ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง (Liquidity Risk) • คืออะไร: ความเสี่ยงที่ไม่สามารถขายตราสารหนี้ในตลาดรองได้ทันทีในราคาที่เหมาะสม • ตัวอย่าง: ตราสารหนี้ของบริษัทขนาดเล็กอาจมีสภาพคล่องต่ำกว่าตราสารรัฐบาล 4. ความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อ (Inflation Risk) • คืออะไร: หากอัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นมากกว่าอัตราผลตอบแทนจากตราสารหนี้ จะทำให้ผลตอบแทนที่แท้จริงลดลง • ตัวอย่าง: พันธบัตรที่ให้ผลตอบแทน 3% แต่เงินเฟ้ออยู่ที่ 4% ทำให้คุณสูญเสียกำลังซื้อ 5. ความเสี่ยงจากการไถ่ถอนก่อนกำหนด (Call Risk) • คืออะไร: ความเสี่ยงที่ผู้ออกตราสารหนี้จะไถ่ถอนตราสารคืนก่อนครบกำหนด หากอัตราดอกเบี้ยลดลง • ตัวอย่าง: หากคุณถือพันธบัตรที่มีอัตราดอกเบี้ยสูง และผู้ออกตราสารตัดสินใจไถ่ถอน คุณอาจต้องลงทุนใหม่ในอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่า 6. ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (Currency Risk) • คืออะไร: ความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน สำหรับตราสารหนี้ที่ออกในสกุลเงินต่างประเทศ • ตัวอย่าง: หากคุณถือพันธบัตรในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ และค่าเงินบาทอ่อนค่าลง คุณอาจได้รับผลตอบแทนต่ำกว่าเดิมเมื่อแปลงกลับเป็นเงินบาท 7. ความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระหนี้ (Default Risk) • คืออะไร: ความเสี่ยงที่ผู้ออกตราสารหนี้ล้มละลายและไม่สามารถชำระหนี้ได้เลย • ตัวอย่าง: บริษัทที่มีฐานะการเงินไม่มั่นคงอาจล้มละลาย ส่งผลให้คุณสูญเสียเงินลงทุน 8. ความเสี่ยงจากอันดับเครดิต (Credit Rating Risk) • คืออะไร: ความเสี่ยงที่อันดับเครดิตของผู้ออกตราสารถูกปรับลดลง ซึ่งอาจส่งผลให้ราคาตราสารหนี้ลดลง • ตัวอย่าง: หากตราสารหนี้ของบริษัทถูกลดอันดับเครดิต ราคาตราสารในตลาดรองอาจลดลง 9. ความเสี่ยงด้านเวลา (Maturity Risk) • คืออะไร: ตราสารหนี้ที่มีอายุยาวนานมีความผันผวนด้านราคาสูงกว่า • ตัวอย่าง: พันธบัตร 30 ปี จะได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยมากกว่าพันธบัตร 5 ปี 10. ความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอก (Event Risk) • คืออะไร: ความเสี่ยงจากเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด เช่น การเปลี่ยนแปลงกฎหมาย หรือภัยพิบัติ • ตัวอย่าง: การออกกฎหมายใหม่ที่ลดการสนับสนุนผู้ออกตราสาร อาจส่งผลต่อความสามารถในการชำระหนี้ สรุป: การลงทุนในตราสารหนี้ไม่ได้ปราศจากความเสี่ยง นักลงทุนควรพิจารณาประเภทความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง และเลือกตราสารที่เหมาะสมกับเป้าหมายและระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้.
ความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ (Credit/Default Risk): ความเสี่ยงที่ผู้ออกตราสารไม่สามารถชำระเงินต้นหรือดอกเบี้ยได้. ความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ย (Interest Rate Risk): ราคาตราสารหนี้จะลดลงเมื่ออัตราดอกเบี้ยในตลาดสูงขึ้น. ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง (Liquidity Risk): ความยากในการขายตราสารหนี้เป็นเงินสดในเวลาที่ต้องการ. ความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ (Inflation Risk): ดอกเบี้ยที่ได้รับอาจมีมูลค่าลดลงเมื่อเทียบกับอัตราเงินเฟ้อ

Send a message click here
or scan QR Code below.
Embedded QR Code