Scan here!
ต้นทุนส่วนของหนี้คิดจากอะไร
ต้นทุนจ่ายหนี้คิดจากดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายและคำนึงถึงผลกระทบจากภาษี เพราะดอกเบี้ยสามารถลดหย่อนภาษีได้ โดยการใช้สูตรช่วยให้เข้าใจว่าต้นทุนจ่ายหนี้ที่แท้จริงมีผลอย่างไรต่อต้นทุนทางการเงินของบริษัท
ต้นทุนหนี้ = อัตราดอกเบี้ยรวม x (1 – รวม) หาอัตรา ดอกเบี้ยที่ต้องชำระหลังหักภาษี โดยจะ พิจารณาปัจจัย 3 ประการ ได้แก่ ความผันผวน ทางเศรษฐกิจ เครดิตเรตติ้งของบริษัท และการ ใช้หนี้ องค์กรที่มีเครดิตเรตติ้งต่ำจะต้องจ่าย ดอกเบี้ยสูงกว่า
ต้นทุนส่วนของหนี้ คิดจากดอกเบี้ยที่บริษัทจ่ายให้กับเจ้าหนี้ ไม่ว่าจะเป็น เงินกู้, การออกหุ้น, การออกตราสารหนี้
ภาระหนี้ที่เกิดจากการ ลงทุนเพื่อใช้ในการประกอบกิจการ เป็นการลงทุนเพื่อให้เกิดประโยชน์
การคำนวณต้นทุนส่วนของหนี้ (Cost of Debt) มีองค์ประกอบสำคัญ ดังนี้:
1. ดอกเบี้ยที่จ่าย (Interest Payment)
• เป็นดอกเบี้ยที่ธุรกิจจ่ายให้กับแหล่งเงินกู้ เช่น ธนาคาร พันธบัตร หรือเจ้าหนี้อื่น ๆ
2. อัตราภาษี (Tax Rate)
• ดอกเบี้ยจ่ายมักนำไปลดหย่อนภาษีได้ในหลายประเทศ ทำให้ต้นทุนส่วนของหนี้แท้จริงต่ำกว่าดอกเบี้ยจ่าย
ต้นทุนที่บริษัทต้องจ่ายในการกู้ยืมเงินมาใช้ในธุรกิจ ดอกเบี้ยที่ต้องจ่าย ให้กับเจ้าหนี้หรือผู้ให้กู้ คิดจาก อัตราดอกเบี้ยที่ต้องจ่าย ภาษี ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง
คือค่า D/E อัตราส่วนของหนี้สิน ต่อเงินทุน ซึ่งใช้บ่งบอกว่าบริษัทมีภาระหนี้ คิดเป็นสัดส่วนกี่เท่าของทุน
ต้นทุนส่วนของหนี้ คือ ต้นทุนที่ธุรกิจต้องจ่ายสำหรับการกู้ยืมหรือการใช้เงินทุนจากแหล่งเงินกู้ เช่น ธนาคาร หรือการออกตราสารหนี้ คิดจาก
1.อัตราดอกเบี้ยที่จ่าย
2.จำนวนเงินต้น
3.อัตราภาษี
4.ระยะเวลาในการชำระคืน
ต้นทุนส่วนของหนี้ คือต้นทุนที่กิจการต้องจ่ายสำหรับการกู้ยืมหรือออกตราสารหนี้ เช่น ดอกเบี้ยเงินกู้ หรือดอกเบี้ยพันธบัตร
ต้นทุนของหนี้สินเป็นค่าใช้จ่ายที่ธุรกิจต้องจ่ายเพื่อตัดหาเงินทุนตามจำนวนที่กู้สุทธิมาใช้ในธุรกอจและต้นทุนของหนี้สินต้องเป็นต้นทุนหลังภาษี
ต้นทุนส่วนของหนี้สิน (Cost of Debt) เป็นต้นทุนที่องค์กรต้องจ่ายให้กับผู้ถือครองตราสารหนี้ เช่น หุ้นกู้หรือเงินกู้ยืม ต้นทุนนี้มีผลต่อการตัดสินใจทางการเงินของบริษัท เพราะมันเป็นหนึ่งในส่วนประกอบของต้นทุนเงินทุนรวม (Weighted Average Cost of Capital - WACC)
---
การคำนวณต้นทุนส่วนของหนี้สิน
1. สูตรทั่วไป:
\text{ต้นทุนส่วนของหนี้สินก่อนหักภาษี (Kd)} = \frac{\text{ดอกเบี้ยที่จ่าย (Interest Expense)}}{\text{เงินต้นของหนี้ (Debt Principal)}}
2. ต้นทุนส่วนของหนี้สินหลังหักภาษี:
\text{Kd (หลังหักภาษี)} = \text{Kd (ก่อนหักภาษี)} \times (1 - \text{อัตราภาษี (Tax Rate)})
---
องค์ประกอบที่ใช้ในการคำนวณ
1. ดอกเบี้ยที่จ่าย (Interest Expense):
อัตราดอกเบี้ยที่บริษัทต้องจ่ายให้แก่เจ้าหนี้ เช่น ดอกเบี้ยเงินกู้ยืมหรือดอกเบี้ยหุ้นกู้
ขึ้นอยู่กับสัญญาเงินกู้หรือเงื่อนไขการออกตราสารหนี้
2. มูลค่าหนี้สิน (Debt Principal):
มูลค่าที่แท้จริงของหนี้สินที่บริษัทกู้ยืม
3. อัตราภาษี (Tax Rate):
อัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลของบริษัท ซึ่งใช้ในการปรับต้นทุนให้เป็น "ต้นทุนหลังหักภาษี"
---
อัตราดอกเบี้ยของหนี้สิน:
คือ อัตราดอกเบี้ยที่บริษัทต้องจ่ายให้กับผู้ที่ให้ยืมหรือเจ้าหนี้ เช่น ดอกเบี้ยจากพันธบัตรหรือสินเชื่อต่างๆ
ภาษีเงินได้:
ในบางประเทศ การจ่ายดอกเบี้ยสามารถหักลดภาษีได้ ทำให้ต้นทุนของหนี้สินจริงๆ (หลังหักภาษี) ต่ำกว่าดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายก่อนหักภาษี
ต้นทุนส่วนของหนี้สินหลังหักภาษี = อัตราดอกเบี้ย × (1 - อัตราภาษี)
ประเภทของหนี้สิน:
หนี้สินระยะยาวหรือระยะสั้นอาจมีอัตราดอกเบี้ยที่แตกต่างกัน ซึ่งจะมีผลต่อการคำนวณต้นทุน
ความเสี่ยงของหนี้สิน (เช่น การเปลี่ยนแปลงในอัตราดอกเบี้ยหรือความเสี่ยงทางเครดิต) ก็อาจมีผลต่ออัตราดอกเบี้ย
เป็นค่าใช้จ่ายที่ธุรกิจต้องจ่ายเพื่อจัดหาเงินทุน ตามจำนวนที่กู้สุทธิมาใช้ในธุรกิจและต้นทุนของหนี้สินต้องเป็นต้นทุนหลังภาษี
ต้นทุนส่วนของหนี้ หรือ Cost of Debt (Kd) คือค่าใช้จ่ายหรือดอกเบี้ยที่บริษัทต้องจ่ายสำหรับเงินทุนที่ได้จากการกู้ยืม เช่น เงินกู้ยืมจากธนาคารหรือการออกพันธบัตร โดยต้นทุนส่วนของหนี้คำนวณจากองค์ประกอบดังนี้:
องค์ประกอบในการคำนวณต้นทุนส่วนของหนี้
1. ดอกเบี้ยที่จ่าย (Interest Expense)
• ดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายให้กับเจ้าหนี้ เช่น ธนาคาร นักลงทุน หรือผู้ถือพันธบัตร
2. อัตราภาษี (Tax Rate)
• เนื่องจากดอกเบี้ยจ่ายสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ ต้นทุนส่วนของหนี้สุทธิ (หลังหักภาษี) จะลดลงตามผลประโยชน์ทางภาษี
ต้นทุนส่วนของหนี้สามารถคำนวณได้จากองค์ประกอบดังนี้:
1. ดอกเบี้ยจ่าย (Interest Expense)
• ดอกเบี้ยที่บริษัทต้องจ่ายตามอัตราดอกเบี้ยที่กำหนดในสัญญาเงินกู้
• ตัวเลขดอกเบี้ยจ่ายนี้จะขึ้นอยู่กับ:
• อัตราดอกเบี้ย (Interest Rate): เช่น 5% ต่อปี
• จำนวนเงินกู้ (Loan Amount): ยิ่งกู้มาก ต้นทุนส่วนของหนี้ก็จะสูงขึ้น
2. อัตราภาษี (Tax Rate)
• เนื่องจากดอกเบี้ยที่จ่ายสามารถนำไปหักลดหย่อนภาษีได้ จึงต้องพิจารณา ต้นทุนหนี้หลังภาษี (After-Tax Cost of Debt)
• คำนวณได้จาก:
ตัวอย่าง:
• หากดอกเบี้ยจ่าย = 5% และอัตราภาษี = 20%
ต้นทุนหนี้หลังภาษี = 
3. ค่าธรรมเนียมและต้นทุนอื่น ๆ
• ค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้องกับการกู้ยืม เช่น
• ค่าธรรมเนียมการปล่อยกู้ (Loan Fees)
• ค่าใช้จ่ายทางกฎหมาย (Legal Costs)
• ค่าใช้จ่ายเหล่านี้อาจเพิ่มต้นทุนโดยรวมของการกู้ยืม
สูตรคำนวณต้นทุนส่วนของหนี้
และเมื่อนำภาษีมาคำนวณ:
ปัจจัยที่ส่งผลต่อต้นทุนส่วนของหนี้
1. ความน่าเชื่อถือทางการเงินของบริษัท (Creditworthiness):
• บริษัทที่มีความน่าเชื่อถือสูงจะได้รับอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่า
• บริษัทที่มีความเสี่ยงสูงมักจะเจออัตราดอกเบี้ยที่สูง
2. สภาพตลาดการเงิน (Market Conditions):
• ในช่วงที่ดอกเบี้ยในตลาดสูง ต้นทุนหนี้ก็จะสูงขึ้น
3. ประเภทของหนี้สิน:
• หนี้ระยะสั้นมักมีอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าหนี้ระยะยาว แต่มีความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง
อัตราผลตอบแทนต่อเงินลงทุนเพื่อการดำเนินงาน โดยคิดจาก กำไรหลีงหักภาษีหารด้วยมูลค่าเงินลงทุนในทรัพย์สิน
ต้นทุนส่วนของหนี้มักคำนวณจากอัตราดอกเบี้ยที่กิจการต้องจ่ายให้ผู้ให้กู้ โดยมีการพิจารณาเรื่อง ผลประโยชน์ทางภาษี เนื่องจากดอกเบี้ยสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้
สูตรการคำนวณ
\text{Cost of Debt (Kd)} = \text{Interest Rate} \times (1 - \text{Tax Rate})
ต้นทุนส่วนของหนี้ (Cost of Debt) หมายถึงค่าใช้จ่ายหรือดอกเบี้ยที่องค์กรต้องจ่ายสำหรับเงินที่กู้ยืมมาใช้ดำเนินธุรกิจ โดยต้นทุนส่วนของหนี้จะเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างต้นทุนทุน (Cost of Capital) ของบริษัท
การคิดต้นทุนส่วนของหนี้:
ต้นทุนส่วนของหนี้สามารถคำนวณได้จากสูตรดังนี้:
1. ต้นทุนส่วนของหนี้ก่อนภาษี
คำนวณจากอัตราดอกเบี้ยที่บริษัทจ่ายให้กับเจ้าหนี้ เช่น อัตราดอกเบี้ยจากพันธบัตรหรือเงินกู้:
\text{Cost of Debt (Before Tax)} = \text{Average Interest Rate on Debt}
2. ต้นทุนส่วนของหนี้หลังภาษี
เนื่องจากดอกเบี้ยที่จ่ายสามารถนำไปหักลดหย่อนภาษีได้ ต้นทุนส่วนของหนี้ที่แท้จริงจึงต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยที่จ่ายจริง โดยสูตรคือ:
\text{Cost of Debt (After Tax)} = \text{Interest Rate} \times (1 - \text{Tax Rate})
ตัวอย่าง:
หากบริษัทมีเงินกู้ที่อัตราดอกเบี้ย 5% และอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล 20%
\text{Cost of Debt (After Tax)} = 5\% \times (1 - 0.20) = 4\%
ข้อมูลที่ใช้ในการคำนวณต้นทุนส่วนของหนี้:
1. อัตราดอกเบี้ย (Interest Rate)
• อัตราดอกเบี้ยจากแหล่งเงินกู้ เช่น สินเชื่อจากธนาคาร หรือดอกเบี้ยจากพันธบัตร
• ถ้าองค์กรมีหนี้หลายส่วน ควรใช้อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยถ่วงน้ำหนัก (Weighted Average Interest Rate)
2. ภาระภาษี (Tax Rate)
• ใช้อัตราภาษีเงินได้ของบริษัท (Corporate Tax Rate) ในการปรับปรุงต้นทุนส่วนของหนี้หลังภาษี
3. จำนวนเงินกู้รวม (Total Debt)
• ข้อมูลจากงบดุล (Balance Sheet) เพื่อคำนวณผลกระทบของต้นทุนส่วนของหนี้ต่อโครงสร้างต้นทุนทุนของบริษัท
ทำไมต้นทุนส่วนของหนี้ถึงสำคัญ?
1. การประเมินโครงสร้างทุน (Capital Structure):
ช่วยบริษัทวิเคราะห์ว่าควรใช้หนี้หรือส่วนของผู้ถือหุ้นในการระดมทุนเพื่อลดต้นทุนทุนรวม (WACC)
2. ความสามารถในการชำระหนี้:
แสดงถึงภาระทางการเงินที่บริษัทต้องแบกรับจากการกู้ยืม
3. การตัดสินใจลงทุน:
ใช้ในการวิเคราะห์ความคุ้มค่าโครงการ หากผลตอบแทนโครงการสูงกว่าต้นทุนทุน บริษัทจะมีโอกาสสร้าง
ต้นทุนส่วนหนี้คิดจากองค์ประกอบ
1 อัตราดอกเบี้ยคืออัตราที่บริษัทต้องจ่ายในการกู้ยืมเงิน
2 ต้นทุนที่แท้จริงหลังภาษี ต้นทุนส่วนนี้จะถูกคำนวณหลังจากหักภาษี
3 ประเภทของหนี้ ต้นทุนส่วนนี้อาจแตกต่างไปตามประเภทของหนี้เช่นหนี้ระยะสั้นหนี้ระยะยาวหนี้ที่มีการค้ำประกัน
ต้นทุนส่วนของหนี้ (Cost of Debt) คือค่าใช้จ่ายที่ธุรกิจหรือบุคคลต้องจ่ายเพื่อกู้ยืมเงินจากแหล่งต่าง ๆ เช่น ธนาคาร นักลงทุน หรือเจ้าหนี้ ซึ่งสามารถคิดจากส่วนประกอบสำคัญดังนี้:
1. ดอกเบี้ยเงินกู้ (Interest Rate)
ดอกเบี้ยที่ผู้กู้ต้องจ่ายให้แก่ผู้ให้กู้ ถือเป็นต้นทุนหลักของหนี้
อัตราดอกเบี้ยจะขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เช่น สถานการณ์ทางเศรษฐกิจ, ประวัติการชำระหนี้ของผู้กู้, ความเสี่ยงของธุรกิจ
2. ภาษีเงินได้ (Tax Shield)
เนื่องจากดอกเบี้ยเงินกู้สามารถนำไปหักลดหย่อนภาษีได้ (ในกรณีของธุรกิจ)
สูตรการคำนวณต้นทุนส่วนของหนี้หลังหักภาษี
3. ค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้อง (Fees and Charges)
เช่น ค่าดำเนินการ, ค่าประเมินสินทรัพย์ค้ำประกัน, หรือค่าธรรมเนียมอื่น ๆ
ค่าธรรมเนียมเหล่านี้เพิ่มต้นทุนรวมของการกู้ยืม
4. ความเสี่ยงในการผิดนัดชำระ (Default Risk Premium)
หากผู้กู้มีความเสี่ยงสูง อัตราดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายอาจเพิ่มขึ้น
ธนาคารหรือผู้ให้กู้จะเพิ่ม “ส่วนเพิ่มความเสี่ยง” เพื่อชดเชยความเสี่ยงนี้
5. การเปลี่ยนแปลงในอัตราแลกเปลี่ยน (ในกรณีหนี้ต่างประเทศ)
หากกู้ยืมเงินจากต่างประเทศ ต้นทุนส่วนของหนี้อาจเปลี่ยนแปลงเนื่องจาก
:
1. **อัตราดอกเบี้ย (Interest Rate):**
- อัตราดอกเบี้ยที่บริษัทต้องจ่ายในการกู้ยืมเงิน อัตราดอกเบี้ยนี้สามารถแตกต่างกันไปตามแหล่งเงินกู้และความเสี่ยงของผู้กู้
2. **ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง (Associated Costs):**
- ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมที่เกี่ยวข้องกับการกู้ยืม เช่น ค่าธรรมเนียมการออกพันธบัตร, ค่าธรรมเนียมทางกฎหมาย, และค่าใช้จ่ายในการจัดการหนี้สิน
3. **อัตราภาษี (Tax Rate):**
- องค์กรสามารถหักลดหย่อนดอกเบี้ยเงินกู้ในรายจ่ายภาษีได้ ดังนั้นอัตราภาษีที่องค์กรจ่ายจะมีผลต่อการคำนวณต้นทุนหนี้สิน
ต้นทุนของหนี้สินเกิดจาก ค่าใช้จ่ายหรือผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการกู้ยืมเงินหรือมีหนี้สิน โดยแบ่งเป็นองค์ประกอบหลักดังนี้:
1. อัตราดอกเบี้ย
• เป็นค่าใช้จ่ายสำคัญของหนี้สิน โดยคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ต่อปี (APR) หรือในรูปแบบอื่น เช่น ดอกเบี้ยลดต้นลดดอก
• อัตราดอกเบี้ยอาจแตกต่างกันไปตามประเภทของหนี้ เช่น บัตรเครดิต สินเชื่อรถยนต์ หรือสินเชื่อบ้าน
2. ค่าธรรมเนียม
• อาจรวมถึงค่าธรรมเนียมการจัดการเงินกู้ เช่น
• ค่าธรรมเนียมแรกเข้า
• ค่าธรรมเนียมเบิกถอนเกินวงเงิน
• ค่าธรรมเนียมล่าช้า
3. ความเสี่ยงทางการเงิน
• การที่ต้องใช้รายได้ในอนาคตมาชำระหนี้ อาจส่งผลกระทบต่อความสามารถในการลงทุนหรือใช้จ่ายในอนาคต
4.
ต้นทุนส่วนของหนี้ (Cost of Debt) หมายถึงต้นทุนที่กิจการต้องจ่ายเพื่อใช้เงินทุนในรูปแบบของหนี้สิน เช่น ดอกเบี้ยเงินกู้ หรือค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้อง โดยต้นทุนส่วนของหนี้มักคิดจากปัจจัยหลักดังนี้:
1. อัตราดอกเบี้ย (Interest Rate)
• เป็นค่าใช้จ่ายหลักของหนี้ที่ต้องจ่ายให้ผู้ให้กู้ (เช่น ธนาคารหรือผู้ถือพันธบัตร)
• มักแสดงเป็นเปอร์เซ็นต์ต่อปี (Annual Percentage Rate: APR)
2. ภาระภาษี (Tax Impact)
• ดอกเบี้ยที่จ่ายเป็นค่าใช้จ่ายที่สามารถนำไปหักลดหย่อนภาษีได้
• การคำนวณต้นทุนส่วนของหนี้จึงมักคำนึงถึงผลกระทบหลังหักภาษี
3. ค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้อง (Associated Fees)
• เช่น ค่าดำเนินการกู้ ค่าประเมินความเสี่ยง หรือค่าธรรมเนียมอื่น ๆ
• ต้องรวมในต้นทุนรวมของหนี้
4. ความเสี่ยงในการกู้ (Credit Risk)
• หากธุรกิจมีความเสี่ยงทางการเงินสูง ผู้ให้กู้อาจกำหนดดอกเบี้ยที่สูงขึ้น
• ความน่าเชื่อถือ (Creditworthiness) ของธุรกิจจึงส่งผลต่ออัตราดอกเบี้ย
5. ประเภทของหนี้
• หนี้ระยะสั้น (Short-term Debt) มักมีดอกเบี้ยต่ำกว่า แต่ต้องชำระคืนเร็ว
• หนี้ระยะยาว (Long-term Debt) มักมีดอกเบี้ยสูงกว่า เพราะมีความเสี่ยงสูงกว่า
ต้นทุนส่วนของหนี้ (Cost of Debt) คิดจาก ค่าใช้จ่ายที่องค์กรต้องจ่ายสำหรับการกู้ยืมเงิน เช่น ดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายให้กับธนาคารหรือผู้ถือหุ้นกู้ โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ทางภาษีที่สามารถนำดอกเบี้ยไปหักลดหย่อนภาษีได้
องค์ประกอบที่ใช้ในการคำนวณต้นทุนส่วนของหนี้
1. อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (r_d):
คือดอกเบี้ยที่องค์กรต้องจ่ายให้กับหนี้ เช่น ดอกเบี้ยจากหุ้นกู้ หรือเงินกู้ธนาคาร
หากเป็นหุ้นกู้ ใช้ Yield to Maturity (YTM) หรืออัตราผลตอบแทนของพันธบัตร
2. อัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล (T_c):
ดอกเบี้ยจ่ายสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ ทำให้ต้นทุนจริงของหนี้ลดลง
ต้นทุนส่วนของหนี้ (Cost of Debt) คิดจากอัตราดอกเบี้ยที่บริษัทต้องจ่ายสำหรับหนี้สิน หลังหักภาษี โดยคำนวณจากการหารายจ่ายดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายทั้งหมดต่อปีด้วยหนี้สินที่บริษัทมีทั้งหมด จากนั้นหักภาษีที่เกี่ยวข้อง เพื่อหาค่าใช้จ่ายจริงของหนี้หลังจากภาษี.
ค่าใช้จ่ายที่ธุรกิจต้องจ่ายเพื่อจัดหาเงินทุน ตามจำนวนที่กู้สุทธิ และต้นทุนของหนี้สินต้องเป็นต้นทุนหลังภาษี ต้นทุนของหนี้สินที่ได้จากการออกพันธบัตรหรือหุ้นกู้
คิดจาก
1.ดอกเบี้ยที่ต้องจ่าย
2.ภาษีเงินได้ขององค์กร
ต้นทุนส่วนของหนี้คิดจาก:
1.อัตราดอกเบี้ยที่จ่ายให้ผู้ให้กู้ (เช่น ธนาคารหรือผู้ถือพันธบัตร)
2.ผลกระทบของอัตราภาษี (เนื่องจากดอกเบี้ยสามารถหักลดหย่อนภาษีได้)
3.ลักษณะและเงื่อนไขของหนี้สิน (เช่น ระยะสั้นหรือระยะยาว)
ต้นทุนส่วนของหนี้ (Cost of Debt) คิดจากค่าใช้จ่ายที่ธุรกิจต้องจ่ายเพื่อจัดหาเงินทุนจากการกู้ยืม ซึ่งรวมถึงอัตราดอกเบี้ยที่จ่ายและต้องพิจารณาหักภาษีออก เนื่องจากดอกเบี้ยสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ การคำนวณต้นทุนหนี้สินหลังภาษี = อัตราดอกเบี้ยภาษี x (1 - อัตราภาษี)
1. ดอกเบี้ยที่ต้องจ่าย
2. อัตราภาษี
โดยหลัก ๆ แล้วจะคำนวณจากปัจจัยเหล่านี้:
อัตราดอกเบี้ย (Interest Rate): อัตราดอกเบี้ยที่บริษัทจ่ายให้กับผู้ให้กู้ หรือสถาบันการเงิน ซึ่งอาจเป็นอัตราดอกเบี้ยที่ชัดเจนตามสัญญากู้ยืม
ภาษี (Tax): เนื่องจากดอกเบี้ยที่จ่ายในบางประเทศสามารถหักภาษีได้ ต้นทุนส่วนของหนี้จะต้องนำไปคำนวณหลังจากหักภาษี (โดยใช้สูตรต้นทุนส่วนหนี้ = อัตราดอกเบี้ย × (1 - อัตราภาษี))
เงื่อนไขของหนี้: เงื่อนไขที่เกี่ยวข้องกับการชำระหนี้ เช่น ระยะเวลาการชำระหนี้ และการชำระดอกเบี้ย อาจมีผลต่อการคำนวณต้นทุนส่วนของหนี้
คำนวณจากอัตราดอกเบี้ยที่กิจการจ่ายสุทธิกับภาษีเงินได้ เนื่องจากดอกเบี้ยสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้
อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง
ผลกระทบทางภาษี
อัตราดอกเบี้ย ต้นทุนเงินทุนของส่วนของผู้ถือหุ้น
**ต้นทุนส่วนของหนี้ (Cost of Debt)** หมายถึง ค่าใช้จ่ายที่บริษัทต้องจ่ายเพื่อระดมทุนจากการกู้ยืมเงินหรือตราสารหนี้ เช่น หุ้นกู้หรือพันธบัตร โดยต้นทุนส่วนของหนี้จะสะท้อนถึงอัตราดอกเบี้ยที่บริษัทจ่ายให้แก่เจ้าหนี้
---
### **1. วิธีการคำนวณต้นทุนส่วนของหนี้ (Cost of Debt)**
**สูตรทั่วไป:**
\[
\text{Cost of Debt (Kd)} = \text{Interest Rate} \times (1 - \text{Tax Rate})
\]
- **Interest Rate:** อัตราดอกเบี้ยที่จ่ายให้แก่เจ้าหนี้ (ดอกเบี้ยที่แท้จริง)
- **Tax Rate:** อัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล
**เหตุผลที่ต้องปรับด้วย \( (1 - \text{Tax Rate}) \):**
- ดอกเบี้ยจ่ายเป็นค่าใช้จ่ายที่สามารถหักลดหย่อนภาษีได้ ดังนั้น ภาษีที่ลดลงทำให้ต้นทุนที่แท้จริงของหนี้ต่ำกว่าดอกเบี้ยที่จ่าย
---
### **2. ตัวอย่างการคำนวณต้นทุนส่วนของหนี้**
สมมติ:
- บริษัทออกพันธบัตรโดยมีดอกเบี้ย 5% ต่อปี
- อัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล 20%
\[
\text{Kd} = 5\% \times (1 - 0.20) = 4\%
\]
**ต้นทุนส่วนของหนี้ที่แท้จริงคือ 4%**
---
### **3. แหล่งที่มาของข้อมูลในการคำนวณ Cost of Debt**
1. **ดอกเบี้ยที่จ่ายจริง:** ใช้อัตราดอกเบี้ยจากเงินกู้ยืมที่มีอยู่ หรืออัตราผลตอบแทนที่ต้องจ่ายจากตราสารหนี้ที่ออกขาย
2. **อัตราผลตอบแทนในตลาด:** ใช้ Yield to Maturity (YTM) ของพันธบัตรหรือหุ้นกู้ปัจจุบัน เพื่อสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง
---
### **4. ปัจจัยที่ส่งผลต่อต้นทุนส่วนของหนี้**
1. **Credit Rating ของบริษัท:**
- บริษัทที่มีความน่าเชื่อถือสูง (Credit Rating สูง) จะได้อัตราดอกเบี้ยต่ำ
2. **สภาวะตลาด:**
- หากอัตราดอกเบี้ยในตลาดเพิ่มขึ้น ต้นทุนส่วนของหนี้จะเพิ่มขึ้น
3. **ความเสี่ยงของบริษัท:**
- บริษัทที่มีความเสี่ยงสูงจะต้องจ่ายดอกเบี้ยสูงเพื่อตอบแทนเจ้าหนี้
---
### **5. ความสำคัญของ Cost of Debt**
- ใช้ในการคำนวณ **ต้นทุนเงินทุนถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนัก (WACC)**
- ช่วยประเมินความคุ้มค่าของการใช้เงินกู้หรือออกตราสารหนี้
- ใช้เปรียบเทียบกับต้นทุนส่วนของทุน (Cost of Equity) เพื่อหาโครงสร้างเงินทุนที่เหมาะสม
---
### **บทสรุป**
ต้นทุนส่วนของหนี้ (Cost of Debt) คิดจาก **อัตราดอกเบี้ยที่จ่ายให้แก่เจ้าหนี้** ปรับด้วยผลประโยชน์ทางภาษี การคำนวณนี้สำคัญในการวางแผนโครงสร้างเงินทุนของบริษัทและช่วยให้บริษัทสามารถบริหารต้นทุนเงินทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
1.อัตราดอกเบี้ยของหนี้
2.อัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล
อัตราดอกเบี้ยที่ต้องจ่าย+อัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล
ต้นทุนหนี้ = อัตราดอกเบี้ยรวม x (1 – อัตราภาษีรวม)
สูตรคำนวณต้นทุนหนี้จะช่วยให้คุณหาอัตราดอกเบี้ยที่ต้องชำระหลังหักภาษี โดยจะพิจารณาปัจจัย 3 ประการ ได้แก่ ความผันผวนทางเศรษฐกิจ เครดิตเรตติ้งของบริษัท และการใช้หนี้ องค์กรที่มีเครดิตเรตติ้งต่ำจะต้องจ่ายดอกเบี้ยสูงกว่า และในทางกลับกัน
ต้นทุนส่วนของหนี้ (Cost of Debt) คือค่าใช้จ่ายที่ธุรกิจต้องจ่ายสำหรับการกู้ยืมเงินจากแหล่งเงินทุนต่าง ๆ เช่น ธนาคาร สถาบันการเงิน หรือผู้ถือพันธบัตร โดยทั่วไปจะคำนวณจาก
-อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงหลังหักภาษี เนื่องจากดอกเบี้ยจ่ายสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้
ดอกเบี้ย
ต้นทุนส่วนของหนี้ (Cost of Debt) คือค่าใช้จ่ายที่ธุรกิจต้องแบกรับจากการกู้ยืมหรือการใช้เงินทุนในรูปแบบของหนี้สิน เช่น เงินกู้ยืมจากธนาคาร การออกตราสารหนี้ (พันธบัตร) เป็นต้น
การคำนวณต้นทุนส่วนของหนี้มีองค์ประกอบสำคัญดังนี้:
1. ดอกเบี้ยที่ต้องจ่าย (Interest Expense)
• ดอกเบี้ยที่ธุรกิจต้องชำระให้แก่ผู้ให้กู้
• อัตราดอกเบี้ย (Interest Rate) มักถูกกำหนดตามเงื่อนไขการกู้ เช่น
• อัตราดอกเบี้ยคงที่ (Fixed Rate)
• อัตราดอกเบี้ยลอยตัว (Floating Rate)
2. อัตราภาษี (Tax Rate)
• ต้นทุนส่วนของหนี้ที่แท้จริงมักจะลดลงเพราะดอกเบี้ยสามารถนำมาหักลดหย่อนภาษีได้ (Tax Deductible)
• ผลลัพธ์นี้เรียกว่า After-Tax Cost of Debt
สูตรคำนวณต้นทุนส่วนของหนี้ (Cost of Debt Formula)

ตัวอย่าง:
• อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ = 8%
• อัตราภาษี = 20%

ปัจจัยที่มีผลต่อต้นทุนส่วนของหนี้
1. ความน่าเชื่อถือทางการเงินของธุรกิจ:
• หากธุรกิจมีเครดิตดี จะได้รับอัตราดอกเบี้ยต่ำ
2. สภาพคล่องในตลาด:
• ตลาดที่มีการแข่งขันสูงอาจส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยลดลง
3. ประเภทของหนี้สิน:
• หนี้ระยะสั้นมักมีอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าหนี้ระยะยาว
4. อัตราดอกเบี้ยนโยบาย:
• การเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยจากธนาคารกลางมีผลต่ออัตราดอกเบี้ยเงินกู้
ความสำคัญของต้นทุนส่วนของหนี้
• ใช้ในการประเมิน ต้นทุนเงินทุนเฉลี่ยถ่วงน้ำหนัก (WACC)
• ช่วยให้ธุรกิจตัดสินใจว่าการกู้เงินเพื่อขยายธุรกิจคุ้มค่าหรือไม่
อัตราดอกเบี้ยที่ต้องจ่าย อัตราภาษี