‘ความทุกข์’ เพื่อนแท้ของข้าพเจ้า

ความทุกข์ เพื่อนแท้ของข้าพเจ้า

 

หากมีใครสักคนถามข้าพเจ้าว่าใครเป็นเพื่อนแท้ของข้าพเจ้า ในวันนี้ข้าพเจ้าสามารถตอบได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า ความทุกข์คือเพื่อนแท้ของข้าพเจ้า

อย่าเพิ่งเป็นกังวลไปเสีย ขอเชิญเข้ามาก่อนเถิด ข้าพเจ้าจะแนะนำเพื่อนคนนี้ให้ทุกท่านรู้จัก อันที่จริงข้าพเจ้าเดาว่าทุกท่านคงเคยพบกับเจ้า ความทุกข์คนนี้มาบ้างไม่มากก็น้อยตลอดชีวิตของพวกท่านที่ผ่านมา ในความจริงแล้ว เขา เป็นคนที่น่ารักมากทีเดียวหากว่าได้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเขา

ก่อนอื่นข้าพเจ้าขอให้นิยามของคำว่า เพื่อนแท้ สักหน่อย เพื่อนแท้ในที่นี้หมายถึงผู้ที่รู้จักตัวเราดียิ่งกว่าตัวเราเอง ผู้ที่มีอิทธิพลต่อชีวิตของเราเป็นอย่างมากจนเราคาดไม่ถึง ผู้ที่อยู่กับเราเสมอไม่ว่าเราจะไปที่ไหน คนที่ห่วงใยเรามากจนไม่กล้าจากเราไป คนที่อยู่กับเราตลอดเวลาแม้ว่าเราจะไม่เคยรู้ก็ตามที ถึงแม้ว่าเราไม่ต้องการเขามากเพียงใด เขาก็ยังคงอยู่กับเราไม่ห่างกาย

 

-อดีต-

ข้าพเจ้าขอเล่าย้อนถึงช่วงเวลาก่อนที่ข้าพเจ้าได้เห็นตัวตนจริงๆ ของเพื่อนแท้คนนี้สักเล็กน้อย ก่อนหน้านี้ข้าพเจ้าเคยสนิทสนมกับ ความสุข เป็นอย่างมาก ข้าพเจ้าจำได้ว่าเรารักกันมาก ความสุขชอบให้แต่สิ่งที่ข้าพเจ้าพอใจ ก่อให้เกิดความเพลิดเพลิน ความสบายใจ ข้าพเจ้าเองก็มักบำรุงรักษาความสุขให้เติบใหญ่อยู่เสมอ ราวกับเป็นดินแดนในความฝันทว่าสัมผัสจับต้องได้จริงทั้งทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ข้าพเจ้าเคยปรารถนาที่จะครอบครองความสุขไปจนชั่วนิรันดร์ แต่เนื่องจากอนิจจังคือความไม่เที่ยงแท้แน่นอนอันเป็นสามัญลักษณะของโลก แม้นว่าข้าพเจ้าปรารถนาครอบครองความสุขมากเพียงใด ความปรารถนาอันรุนแรงนั่นเองที่พุ่งกลับมาทำร้ายข้าพเจ้า

เพื่อการเปรียบเทียบให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น ข้าพเจ้าขอยกตัวอย่างทฤษฎีกบต้มที่นักวิทยาศาสตร์ท่านหนึ่งได้ทำการทดลองมาเล่าฝากไว้ เรื่องมีอยู่ว่า เขาได้ทำการทดลองโดยนำกบมาใส่ในหม้อน้ำสองใบ หม้อแรกเป็นน้ำร้อนที่กำลังเดือดพล่าน กบตัวน้อยกระโดดออกจากหม้อน้ำร้อนในทันที อีกหม้อหนึ่งเป็นหม้อน้ำเย็นซึ่งจะค่อยๆ เพิ่มอุณหภูมิทีละน้อยจนเจ้ากบไม่ทันได้รู้ตัว เนื่องจากกบเป็นสัตว์เลือดเย็นที่ร่างกายจะปรับอุณหภูมิตามสภาพแวดล้อมรอบๆ  ดังนั้นความร้อนที่เพิ่มขึ้นจึงไม่ทำให้เจ้ากบรู้สึกเดือดร้อนสักเท่าไร กว่ากบน้อยจะรู้ตัวว่าตกอยู่ในอันตราย ก็อยู่ในเงื้อมมือพญายมราชเสียแล้ว

เฉกเช่นเดียวกับความสุข บางครั้งเรามักรังเกียจความทุกข์ดังเจ้ากบกระโดดหนีออกจากหม้อน้ำร้อน ความสุขอาจดูเหมือนน้ำเย็น แต่ยามที่เราเผลอไผลหลงคล้อยตามเขา หายนะจะมาเยือนในทันที ความสุขเขาช่างมีสเน่ห์และมายาดึงดูดใจเราให้หลงใหลได้ง่ายดายยิ่งนัก พอเรามัวเมาได้ที่เขาก็แอบย่องมาแทงข้างหลังทะลุถึงหัวใจ

 ความสุขที่ข้าพเจ้าหลงนึกว่าเป็นสิ่งที่เป็นความจริงและไม่เปลี่ยนแปลงก็ยังตกอยู่ใต้กฎแห่งความธรรมดาของโลก ความยึดมั่นถือมั่นในความสุขยิ่งมีมากเท่าใด ความเสียใจและผิดหวังที่ไม่ได้ดั่งใจย่อมรุนแรงมากเท่านั้น ความสุขที่ข้าพเจ้าเห็นว่ามีรสหอมหวานแสนอร่อยกลับแปรเปลี่ยนเป็นรสขมสีดำแห่งความทรมานของความทุกข์ไปเสียได้ ใช่แล้ว! ความสุขเป็นเพียงของฉาบทาภายนอก แต่เนื้อแท้ของมันคือความทุกข์ทรมานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ในยามที่ถูกความหวังเพียงหนึ่งเดียวทรยศ ข้าพเจ้าก็รู้ตัวได้ในทันทีว่าเผลอเลี้ยงงูเห่ามาโดยตลอด พอถึงเวลาประจวบเหมาะก็ย้อนกลับมาทำร้ายเราได้อย่างเจ็บแสบ นี่คือผลจากการหลงยินดีในสิ่งที่เรียกว่ามายา เมื่อรู้สึกตัวอีกครั้งก็ไม่พบสิ่งใดที่ควรค่าแก่การเรียกว่าความสุขเลย

หากว่าเพื่อนแท้คือคนที่อยู่กับเราในยามที่เราไม่เหลือใครเลย ผู้ที่จะปรากฏตัวขึ้นเป็นคนแรกย่อมเป็นความทุกข์โดยไม่ต้องสงสัย ยามนี้ข้าพเจ้าจึงเริ่มสนิทสนมกับความทุกข์และได้ทำความรู้จักเขาเสียใหม่ อาจเพราะว่าข้าพเจ้าไม่ได้พบหน้าความสุขมากเหมือนเมื่อก่อนประกอบกับเวลาช่วยให้ข้าพเจ้ายอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง ไม่นำอารมณ์ของตนเข้าไปรับรู้อีก เมื่อไม่รู้สึกยินดีหรือยินร้ายกับเหตุการณ์ต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาก็สามารถทำให้มองเห็นความจริงชัดเจนมากขึ้น ความจริงนั้นจะเป็นสิ่งใดเล่าถ้าไม่ใช่ความธรรมดาของโลกที่มีทั้งสีขาวและดำ สีดำตรงข้ามกับสีขาวแต่เป็นคู่กันฉันใด สิ่งที่ไม่น่าอภิรมย์กับสิ่งที่น่าอภิรมย์ก็ย่อมเกิดคู่กันฉันนั้น ดังคำกล่าวว่า ได้ลาภ เสียลาภ ได้ยศ เสียยศ สรรเสริญ นินทา สุข ทุกข์ รวมกันเป็นโลกธรรมคือธรรมดาของโลกที่ทุกผู้ทุกคนต้องประสบพบเจออย่างแน่นอน

ความชอบและความชังเกิดจากความรู้สึกของเราเอง ยามพบสิ่งที่ก่อเกิดสุขเวทนา เราย่อมพอใจในสิ่งนั้น แต่ยามพบสิ่งที่ก่อเกิดทุกขเวทนา เราย่อมชิงชังสิ่งนั้นใช่หรือไม่? จากนั้นเราก็จะแบ่งสิ่งต่างๆ เป็นสองประเภทคือชอบและไม่ชอบ ตามธรรมดาบุคคลทั่วไปก็พอใจในการแสวงหาสิ่งที่ชอบและหลีกเลี่ยงผลักไสสิ่งที่ไม่ชอบ ซึ่งแท้ที่จริงแล้วความชอบย่อมขึ้นอยู่กับใจของบุคคลผู้นั้น เขาเป็นคนกำหนดสิ่งที่เขาชอบและไม่ชอบด้วยจิตของตนเอง สุดท้ายสิ่งที่เขาชอบใจก็ทำให้เขามีความสุข สิ่งที่เขาไม่ชอบใจก็สร้างความทุกข์ให้แก่ตัวของเขาผู้นั้น หากสามารถกำหนดความชอบได้ด้วยจิตแล้วไซร้ เหตุใดจึงต้องสร้างสิ่งที่ก่อเกิดความทุกข์ด้วยเล่า?

เหตุการณ์ต่างๆ ในชีวิตของข้าพเจ้าปรากฏขึ้นเป็นมโนภาพ ระลึกได้โดยจิต ทบทวนไล่เรียงลำดับเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบ แล้วไล่ย้อนจากจุดจบไปหาจุดเริ่มต้น พิจารณาความเป็นไปของชีวิตจึงพบว่าการยึดติดในสิ่งที่รักที่พอใจทำให้เกิดความทุกข์ในภายหลัง ก็เพราะเรารักเราหวงแหนมิใช่หรือ จึงก่อเกิดความโศกเศร้าเมื่อพลัดพรากจากกัน ข้าพเจ้ามองเห็นภาพในอดีตแล้วพบแต่ความทุกข์ซึ่งเกิดจากการประสบสิ่งอันไม่เป็นที่รัก การพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก และการปรารถนาสิ่งใดไม่ได้แล้วสิ่งนั้นล้วนเป็นความทุกข์ทั้งสิ้น การอยากมีความสุขเป็นบ่อเกิดของความทุกข์จริงๆ สมดังคำกล่าวขององค์พระศาสดาที่ว่า ความพอใจเป็นสาเหตุแห่งความทุกข์

 

-ปัจจุบัน-

นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาข้าพเจ้าจึงตัดสินใจคบเจ้าความทุกข์นี่เป็นเพื่อน ก็ในเมื่อทุกสิ่งในโลกนี้ที่ยังอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ของเวลาย่อมประสบกับการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ทุกสิ่งในโลกนี้ไม่จีรังยั่งยืนจึงเรียกได้ว่าเป็นความทุกข์ แล้วเรามีเหตุผลใดเล่าที่จะเกลียดหรือไม่ชอบเจ้าความทุกข์? เขาอยู่รอบๆ พวกเราเสมอ ในบ้าน ในโรงเรียน ในชุมชน ในประเทศชาติ เขาเที่ยววนเวียนไปมาไม่ขาดหาย อยู่ในความรัก อยู่ในความโกรธ อยู่ในความอาลัยอาวรณ์ ข้าพเจ้ารู้ว่าเขาอยู่กับข้าพเจ้าตลอดเวลาจึงเลิกเกลียดเขาโดยสิ้นเชิงเพราะตัวตนของทุกข์ก็คือความจริงนั่นเอง ข้าพเจ้ารักความจริงมากยิ่งกว่าความสุขเสียอีก

ความทุกข์เป็นผู้มีพระคุณของข้าพเจ้าก็ว่าได้เพราะเขาสอนให้ได้พบพานกับสิ่งที่ข้าพเจ้าใฝ่หามานานแสนนาน ข้าพเจ้าเที่ยวหาความจริงของชีวิตและธรรมชาติ ความจริงที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ข้าพเจ้าเห็นโทษภัยของความสุขเพราะว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน ตอนนี้ข้าพเจ้ารู้ซึ้งถึงประโยชน์แห่งความทุกข์เพราะรู้แน่แก่ใจแล้วว่าความทุกข์เป็นสิ่งที่มีอยู่จริง ความทุกข์ไม่มีทางหายไปได้หากว่าเรายังมีตัวตนอยู่ เราเกิดมาพร้อมกับความทุกข์ เติบโตพร้อมกับความทุกข์ และจักต้องตายไปกับความทุกข์ด้วย เว้นเสียแต่ว่าจะหาทางไม่ให้มาเกิดได้อีก

มนุษย์ทุกคนที่เกิดมาล้วนโชคดีอย่างมหาศาลที่ยุคสมัยนี้มีมหาบุรุษผู้หนึ่งผู้ซึ่งค้นพบความจริงที่ทำให้รู้จักหนทางที่จะทำให้ไม่ต้องพบพานความทุกข์อีกเลย ความจริงอันประเสริฐที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้และสั่งสอนเหล่าเวไนยสัตว์เพื่อจุดมุ่งหมายอันสูงสุดคือการดับทุกข์โดยสิ้นเชิงมีทั้งหมดสี่ประการ ข้าพเจ้าจะขอกล่าวถึงประการที่หนึ่งซึ่งก็คือทุกข์นั่นเอง

 

-ความทุกข์-

ตำราพิชัยสงครามโบราณเล่มหนึ่งกล่าวว่า รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง

ถ้าหากว่าเป้าหมายสูงสุดคือการดับทุกข์โดยสิ้นเชิงแล้วไซร้ จะมีหนทางใดทรงประสิทธิผลมากไปกว่าการทำความรู้จักความทุกข์เล่า? เมื่อใดที่เรารู้ทุกข์อย่างทะลุปรุโปร่ง เมื่อนั้นเราก็กำราบความทุกข์ให้หมดสิ้นไปได้เช่นเดียวกัน

หากเปรียบเทียบโลกเป็นโรงละครโรงใหญ่ที่มีตัวละครที่หลากหลากคละเคล้ากันไป ความทุกข์เหมือนว่าจะขึ้นแท่นรับบท จอมวายร้ายมาโดยตลอด สังเกตจากการที่ทุกคนรังเกียจและหวาดกลัวเขาเป็นอย่างมาก ตัวละครทุกตัวใช้ความพยายามอย่างมากที่จะไม่ต้องพบเจอกับความทุกข์ บางคนก็แกล้งทำเป็นไม่รับรู้การมีอยู่ของความทุกข์ หรือแม้แต่คนที่มีความสุขที่สุดก็ยังพร้อมจะวิ่งหนีเมื่อความทุกข์มาเยือน โดยหารู้ไม่ว่าจริงๆ แล้วความทุกข์ก็ยังคงแสดงไปตามบทบาทที่ได้รับในโรงละครโรงใหญ่แห่งเดียวกันนี้

แต่ความทุกข์เป็นจอมวายร้ายที่แท้จริงหรือเปล่า? เขาก็เป็นเพียงตัวละครหนึ่งที่ต้องแสดงไปตามบทบาทที่ได้รับมอบหมายเหมือนกับนักแสดงคนอื่นๆ เช่น ความรัก ความสงบ ความเกลียด ความกลัว  ล้วนแต่แสดงตัวออกมาตามบทบาทของแต่ละคน เมื่อการแสดงของตนจบลงในแต่ละฉากก็ต้องลงจากเวที ให้นักแสดงคนอื่นออกไปแสดงตามบทบาทของแต่ละคน บางครั้งนักแสดงบางคนยังไม่ทันได้พักให้หายเหนื่อยก็ต้องขึ้นเวทีแสดงต่ออีกแล้ว ใครกันแน่ที่ทำให้ตัวละครเหล่านี้ต้องเล่นไปตามบทบาทและบังคับบัญชาพวกเขาให้แสดงตามบทละครที่ถูกเขียนขึ้นมา

บทละครเรื่องนี้มีชื่อสวยหรูว่า สังสารวัฏฏะซึ่งมีความหมายว่าการหมุนวนในการท่องเที่ยวไป และคนที่สามารถสรรสร้างบทละครเรื่องนี้มีแค่คนเดียวก็คือผู้กำกับ แต่ผู้กำกับคนนี้ใจร้ายไม่ใช่เล่นเพราะเขาไม่เพียงแต่สร้างละครที่ซับซ้อนแถมยังยุ่งเหยิงวุ่นวาย ใช้นักแสดงคนแล้วคนเล่าซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่มีความเห็นใจนักแสดงเลยแม้แต่นิดเดียว เขายังสามารถสร้างสรรค์ละครได้เป็นร้อยเป็นพันเรื่อง วางแผนร้อยเรียงเรื่องราวและสร้างบทบาทให้นักแสดงทุกคนออกมาประชันฝีมือและบทบาทเดิมๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เรื่องแล้วเรื่องเล่าเป็นเวลานานแสนนานจนเหมือนเป็นวงจรที่ไม่มีวันสิ้นสุด คิดไปคิดมาก็ไม่เห็นว่าผู้กำกับคนนี้จะเก่งกาจตรงไหน กลับเห็นว่าเขาช่างโหดร้ายสิ้นดี! เขาไม่เหลือความเมตตาใดให้นักแสดงตาดำๆ ซึ่งถูกใช้งานอย่างหนักหน่วงจนหมดสิ้นเรี่ยวแรง แถมค่าตอบแทนที่ได้รับก็ไม่เคยทำให้รู้สึกเป็นอิสระจากเงื้อมมือผู้กำกับจอมโหดคนนี้สักที น่าเสียดายที่น้อยคนจะรู้จักหน้าค่าตาและชื่อเสียงเรียงนามของผู้กำกับคนนี้ พวกเขาจึงยอมตกอยู่ใต้อำนาจบงการของเขาด้วยความไม่รู้ตลอดมา

จากเรื่องที่ยกตัวอย่างมาดังกล่าวจะเห็นได้ว่าความทุกข์ไม่ใช่ตัวละครแสนร้ายกาจที่ควรถูกเกลียดชังแม้แต่น้อย เนื่องจากตัวละครทุกตัวถูกผู้กำกับจอมโหดชักใยอยู่เบื้องหลัง ตัวละครทุกตัวจึงได้รับบทบาทที่แตกต่างกันไป โดยเฉพาะเจ้าความทุกข์ซึ่งถูกผู้กำกับจอมโหดเพ่งเล็งมุ่งใส่ร้ายป้ายสีจึงได้แสดงบทบาทที่โหดร้ายที่สุด น่าชิงชังที่สุด ทรมานที่สุด และเป็นความจริงมากที่สุดอยู่เสมอ ตัวละครธรรมดาที่ทุกคนชอบเมินอย่างความทุกข์ถูกมองว่าเป็นตัวร้ายโดยตลอดที่แท้จริงแล้วเป็นตัวละครที่กุมความลับและปริศนาของเรื่องราวทั้งหมดทั้งมวลไว้ ผู้ใดที่สามารถไขปริศนาของความทุกข์ได้จะพบว่าโลกแห่งโรงละครใบใหญ่ใบนี้มิใช่อะไรอื่นนอกเสียจากเป็นการบังคับและบงการชักใยของผู้กำกับจอมโหด น้อยคนนักที่รู้ความลับนี้เนื่องจากยังหลงเพลิดเพลินไปกับโลกมายาและการแสดงจอมปลอมในโรงละครแห่งนี้ ผู้กำกับจอมโหดมักจะยื่นบทบาทที่น่ารังเกียจที่สุดแก่ความทุกข์จะได้ไม่มีใครสนใจความลับที่เขาเก็บซ่อนไว้

ความทุกข์ไม่ใช่จอมวายร้ายอย่างแน่นอนหากแต่เป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับคำว่าจอมวายร้ายก็ว่าได้ เพราะที่จริงแล้วเขาเป็นพระเอกของงาน แต่ไม่ใช่งานแสดงละครของผู้กำกับจอมโหดหรอกนะ เขาเป็นพระเอกของงานที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นมากมายนัก งานนั้นก็คือการหาทางหนีผู้กำกับจอมโหด การที่ไม่ยอมตกอยู่ใต้อำนาจของผู้กำกับนี้อีกต่อไป ยังมีคนส่วนหนึ่งที่เบื่อหน่ายบทละครที่ผู้กำกับยื่นให้แสดง เหนื่อยที่ไม่มีอิสรภาพอันจริงแท้ เหนื่อยที่ต้องพบกับชะตากรรมเดิมๆ และเหนื่อยที่ต้องทนอยู่กับความไม่รู้จริงในโลกแห่งการหลอกลวง

ด้วยเหตุนี้เองจึงมีการรวมกลุ่มของผู้เสาะหาความจริงโดยมีความทุกข์เป็นหัวเรือใหญ่คนแรก ความทุกข์บอกเสมอว่า นี่คือความจริงของชีวิต เขาสอนให้ฝึกยอมรับในทุกข์ที่เกิดขึ้นมา ให้ยอมรับในทุกอย่างที่ทุกข์เป็น ไม่ต้องผลักไสหรือพะว้าพะวงหรือหวาดกลัวเขาแต่อย่างใด ให้ฝึกรู้เนื้อรู้ตัว รู้เท่าทันในทุกสิ่งทุกอย่างว่า นี่เป็นเรื่องธรรมดา ความธรรมดาของความทุกข์ เพราะตราบใดที่ยังตกอยู่ใต้อำนาจของผู้กำกับจอมโหด ความไม่รู้จริงก็ยังมีอยู่เสมอ วิธีไขปริศนาแห่งความจริงจะต้องฝึกรู้เท่าทันในความทุกข์และเรียนรู้จากความทุกข์ให้มากเข้าไว้ เก็บสะสมความรู้ไว้เป็นเสบียงเหมือนดั่งสำนวน รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง

ข้าพเจ้าอาศัยความใฝ่เรียนใฝ่รู้ในการเข้าไปทำความรู้จักตัวตนที่แท้จริงของความทุกข์จนกลายเป็นความสนิทสนมชิดเชื้อ ข้าพเจ้ายอมรับในความทุกข์และความทุกข์ก็มอบบทเรียนที่ล้ำค่าแก่ข้าพเจ้าอันเป็นไปเพื่อความดับทุกข์โดยสิ้นเชิง แม้ว่าเป้าหมายสูงสุดคือการมีชัยอยู่เหนือความทุกข์ทั้งปวงผ่านกระบวนการเรียนรู้จากทุกข์ชนิดต่างๆ ซึ่งหมายความว่าเมื่อบรรลุจุดหมายได้สำเร็จก็จะไม่สามารถพบ เพื่อนแท้ ผู้นี้ได้อีก แต่ข้าพเจ้ารู้ซึ้งถึงความหวังดีอันสูงสุดที่เพื่อนคนหนึ่งสามารถมอบให้เราได้ สิ่งนั้นคือการยึดอำนาจของผู้กำกับจอมโหด ไม่ยอมให้มันควบคุมชีวิตของเราได้อีกต่อไป การพบเจอกับอิสระที่แท้จริง ความสงบเย็นอันถาวร ไม่มีสิ่งใดที่จะก่อความเปลี่ยนแปลงใดๆ ได้อีก ความโชคดีอย่างมหาศาลคือเราทุกคนสามารถทำสิ่งนี้ให้เกิดขึ้นด้วยตัวเองได้และไม่จำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากใคร นอกเสียจากการฝึกฝนให้รับรู้แต่ความจริง เหมือนที่เจ้ากบน้อยกระโดดออกจากหม้อน้ำในทันทีเมื่อรู้ว่าน้ำร้อนนั้นอันตรายถึงชีวิต

ความทุกข์คือเพื่อนแท้ของข้าพเจ้า ความทุกข์ยังสามารถเป็นครูผู้สอนในฐานะที่ทำให้ได้เรียนรู้และรับรู้ทุกข์ทุกอย่างตามความเป็นจริงเช่นเดียวกัน ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย ความทุกข์เปิดทางให้มองเห็นความจริงได้ เมื่อมองเห็นความจริงจึงรู้ว่าทุกสิ่งย่อมเกิดขึ้น ตั้งอยู่ เปลี่ยนแปลงแล้วดับไปตามเหตุของมัน ทุกสิ่งที่มีความเปลี่ยนแปลงย่อมเป็นความทุกข์ ดังนั้นจึงไม่มีสิ่งใดที่ไม่เป็นทุกข์เลย ข้าพเจ้าหวังเพียงให้ทุกคนสามารถช่วยเหลือตนเองได้โดยไม่หวาดกลัวต่อความทุกข์ ต่อไปจึงมีความสุขได้โดยอาศัยความรู้จักรู้แจ้งในความทุกข์  ข้าพเจ้ากล่าวได้แค่เพียงว่า ขอให้เปิดใจเรียนรู้จากความทุกข์เถิด เขาไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดหากว่าเราเอาใจใส่เขามากพอ ในอีกนัยยะหนึ่ง ความทุกข์ไม่เคยทำให้ใครเดือดร้อนสักเท่าไหร่

 

ขอมอบบทความนี้แด่ความทุกข์ ผู้เป็นเพื่อนแท้และอยู่ข้างเคียงข้าพเจ้ามาโดยตลอด                                                       

 

 

 

นามปากกา คุณัญญา

เขียนเมื่อกรกฎาคม 2557
ได้รับรางวัลธรรมวรรณศิลป์ รุ่นที่ 6 สถาบันยุวโพธิชน

อันเป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทางธรรมวรรณกร และการ Drop-Out จากมหาวิทยาลัยเพื่อเรียนรู้ทุกขสัจจ์ของสังคมไทยกับอาจารย์ที่ศรัทธาในวิถีปณิธาณชีวิต

 

PerrysJourney มนตรากร กระบวนกร นักเล่นแร่แปรภาษา Mystic Facilitator Alchemist
เขียน 11 ต.ค. 2566 22:53
ปรับแก้ 11 ต.ค. 2566 22:57