Oneness ทางศาสนา

ผู้กอดคัมภีร์แห่งศาสดา แล้วคิดเดาเอาเองว่า ตัวเองเป็น "ตัวแทน" ที่ "สมบูรณ์แบบ" ของศาสดานั้น มีอยู่

 

ความเชื่ออันสุดแสนจะลึกลับและซับซ้อนเกินพรรณาได้ถูกก่อร่างสร้างตัวขึ้นเป็นหอคอยสูงตระหง่าน แต่มี "อัตตา" เป็นผู้นั่งบัลลังค์ และกอดคัมภีร์นั้นไว้ด้วย "ศรัทธาอันผิดเพี้ยน" เพื่อดำรงไว้ซึ่ง "อำนาจ" ที่เหนือกว่าคนทั่วไป

 

อัตตา ได้เริ่มแสดงอำนาจออกมา

ด้วยการประกาศตัวว่า...

>>ฉันเป็นคนดีของศาสนา 

>>ฉันหวังดีต่อศาสนา 

>>ฉันออกมาเรียกร้องความชอบธรรมให้กับศาสนาที่ถูกต้องที่สุดนี้

 

ส่วนคัมภีร์ที่ฉันกอดเอาไว้นี้เป็นไปเพื่อการปลดเปลื้องคนทั้งโลกให้หลุดพ้นจากกองทุกข์ทั้งปวง ให้ได้รับความสุขอันสูงสุดที่ไม่อาจหาได้ในโลกแห่งความไม่จีรังยั่งยืนแห่งนี้

 

จนเกิดข้อสรุปว่า "ศาสนาของฉันนี้เท่านั้นจริง ศาสนาอื่นผิดหมด" และเริ่ม "ยึดมั่นถือมั่น" หนักขึ้นเรื่อยๆ

 

ความยึดมั่นถือมั่น ก่อให้เกิด การแบ่งแยก

การแบ่งแยก ก่อให้เกิด การแข่งขัน

การแข่งขัน ก่อให้เกิด ความไม่ไว้ใจกัน

ความไม่ไว้ใจกัน ก่อให้เกิด การทำลายกัน

การทำลายกัน ก่อให้เกิด การทะเลาะวิวาทกัน

จนกลายเป็น... "สงคราม" ในที่สุด

 

เมื่อเกิดสงครามศาสนา 

มนุษย์โทษใครหรือ?

มนุษย์ไม่เคยโทษตัวเอง 

แต่กลับโทษศาสนา

เหตุเพราะมนุษย์ขี้ขลาด 

ไม่กล้าบอกตรงๆ ว่า 

มันเป็นสงครามของมนุษย์ 

เป็นสงครามของความยึดมั่นถือมั่น

เป็นสงครามของอัตตา

ที่เอาคำสอนของศาสดาแต่ละศาสนา

มาอ้างความชอบธรรมให้กับอัตตาของตัวเอง

 

จึงเกิดวาทกรรมภายหลังว่า

"ศาสนาไม่ได้เสื่อม

ใจคนต่างหากที่เสื่อม"

 

ส่วนศาสนาอื่นๆ ที่ยังไม่เกิดสงครามศาสนา ก็มีเหล่าศาสนิกส่วนหนึ่ง ชอบอ้างว่าศาสนาตัวเองดีเลิศ เพราะไม่เคยเกิดสงครามศาสนา จึงกลายเป็นศาสนิกคุณภาพต่ำที่ชอบกระแนะกระแหนความเชื่อของคนอื่น โดยอ้างความเป็นศาสนิกที่ดี หวังดีต่อศาสนา (เฉพาะของศาสนาตัวเอง) โดยการโจมตีศาสนาอื่นว่าต่ำตมกว่าศาสนาที่ตัวเองนับถือ โดยไม่ได้มองตามความเป็นจริงว่า มันไม่ใช่ปัญหาของศาสนาหรือศาสดาเลย แต่ปัญหามันเกิดจากอัตตาของผู้ที่อ้างว่าตนเองเป็นศาสนิกที่ดีของศาสนานั่นเอง

 

หากยังไม่เลิกพฤติกรรม "ขี้ขลาด" 

 

ยังไม่เลิกเอาคำสอนของศาสดา

มาบังหน้าเพื่อกดข่มคนอื่นหรือศาสนาอื่น

Oneness ทางศาสนาย่อมไม่อาจเกิดขึ้น

 

แท้จริงแล้ว คำสอนของศาสดา

ย่อมเป็นคุณแก่มวลมนุษย์

แต่จงจำไว้ว่า หากตนเองไม่ใช่ศาสดา 

แม้จะถือคัมภีร์ของพระองค์เอาไว้

ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะรู้เทียบเท่าศาสดา

หากคุณรู้เท่าศาสดา 

คุณก็กลายเป็นศาสดาเสียเอง

 

ศาสดาท่านเห็นช้างทั้งตัว

เห็นทิฏฐิของมนุษย์ทุกรูปแบบ

 

แต่ไม่ได้หมายความว่า เมื่อเราท่องจำคัมภีร์ หรือปฏิบัติแล้ว เราจะรู้แจ้งเห็นจริงได้เทียบเท่าศาสดา

 

อย่าอหังการนักเลยมนุษย์เอ๋ย

ผ่อนอัตตาตัวเองลงบ้าง

รู้แค่ขาช้าง งวงช้าง ฯลฯ

ก็ยอมรับว่ารู้แค่นั้น 

อย่าอวดอุตริกันมากนักเลย

 

แสวงหาจุดร่วมสงวนจุดต่างอย่างสร้างสรรค์ 

เข้าใจ ยอมรับ และให้อภัยซึ่งกันและกัน 

คลายความยึดมั่นถือมั่นลงได้ 

ใจจะระงับและเป็นสุข 

สงบ เยือกเย็น เห็นธรรม

เห็นความรักในมนุษยชาติตามความเป็นจริง

Oneness ทางศาสนาจึงบังเกิดขึ้น ฉะนี้.

___________________

#เมตตาธรรมค้ำจุนโลก

#ขอบคุณผู้ชี้

#ขอบคุณเพื่อนผู้มีธรรมเป็นกัลยาณมิตร

เมธา หริมเทพาธิป ความจริง ความงาม ความรัก ความเป็นหนึ่งเดียว
เขียน 07 ต.ค. 2566 05:04
ปรับแก้ 07 ต.ค. 2566 05:04