กาลามสูตรก็คือกาลามสูตร
เป็นเรื่องของการใช้ "วิจารณญาณ"
กาลามสูตร "ไม่ใช่วิทยาศาสตร์"
อย่างที่บทความใน Google เขียนไว้
เพราะกาลามสูตรยอมรับทั้งส่วนที่เป็นสากล (Universal) และส่วนที่เป็นประสบการณ์เฉพาะในเชิงปัจเจกชน (Individual) ไม่ได้ผูกขาดเฉพาะกฎสากลเหมือนกับวิทยาศาสตร์ และไม่ได้อิงเกณฑ์บนพื้นฐานที่ต้องพิสูจน์ด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์เท่านั้น และกาลามสูตรเองก็ไม่ได้ใช้ตรรกศาสตร์และคณิตศาสตร์เป็นเครื่องมือในการแสวงหาความจริงเหมือนกับวิทยาศาสตร์ แต่ใช้ "ปัญญาญาณ" ตั้งแต่ระดับ "วิจารณญาณ" (คือ การวิเคราะห์ (analytic) ประเมินค่า (appliciate) และการประยุกต์ใช้ (application) โดยเล็งผลอันเลิศ คือ การพัฒนาคุณภาพชีวิตและจิตวิญญาณ) จนถึงระดับ "ยถาภูตญาณ" ที่สอดคล้องกับหลักโยนิโสมนสิการในทางพุทธศาสนา
กาลามสูตร (ทุกตัวอักษร) ที่ปรากฏในอังคุตตรนิกาย ติกนิบาต แบ่งออกได้เป็น 3 ตอน ดังนี้
#Ep1 : #อย่าเพิ่งเชื่ออะไรง่ายๆ
คือ ฐานข้อมูล (Database) ที่ผ่านการถอดสิ่งสากล (abstraction) ในเชิงภววิทยา (Ontology) มาแล้ว ในตอนที่ 1 นี้ พระพุทธองค์ทรงสอน อย่าเพิ่งเชื่อความรู้ ข้อมูล ข่าวสาร ที่เป็นแค่ "ข้ออ้าง" หรือ "เพียงเพราะอ้างว่า" โดยแบ่งออกเป็น 10 ฐานข้อมูล ดังนี้
1. อย่าเพิ่งเชื่อเพียงเพราะอ้างว่าฟังตามกันมาหรือคำบอกเล่า/เรื่องเล่า (narative)
2. อย่าเพิ่งเชื่อเพียงเพราะอ้างว่าเป็นประเพณี (ขนบ ธรรมเนียม จารีต)
3. อย่าเพิ่งเชื่อเพียงเพราะอ้างว่าเป็นคำเล่าลือ เป็นข่าวสาร (ทุกช่องทาง)
4. อย่าเพิ่งเชื่อเพียงเพราะอ้างว่ามาจากตำรา คัมภีร์ หนังสือ (สื่อสิ่งพิมพ์ทุกประเภท)
5. อย่าเพิ่งเชื่อเพียงเพราะอ้างว่าเป็นตรรกะนิรนัย (deduction) มีเหตุผล (reason) ดูสมเหตุสมผลเชิงตรรกะ (T/F) สอดคล้องกับหลักคณิตศาสตร์ ตลอดถึงการนึกเดาเอาเอง
6. อย่าเพิ่งเชื่อเพียงเพราะอ้างว่าเป็นตรรกะอุปนัย (induction) ได้แก่ สิ่งที่เป็นสถิติ เป็นโพลสำรวจ เป็นการเก็บปรากฏการณ์ซ้ำๆ จากธรรมชาติในเชิงการทดลอง
7. อย่าเพิ่งเชื่อเพียงเพราะอ้างว่าเป็นการคาดการณ์คาดคะเน อนุมานตามประสบการณ์ที่ผ่านมาหรือในเชิงปรากฏการณ์ (phenomenology) หรือความน่าจะเป็น
8. อย่าเพิ่งเชื่อเพียงเพราะอ้างว่ามันเข้าได้กับความคิดเห็น แนวคิด ทฤษฎี หลักการ ปรัชญา ที่ตนเชื่อมั่น หรือปักหมุดเอาไว้ในใจว่า ของฉันนี้เท่านั้นจริง ของคนอื่นผิดหมด (อิทะ เมวะ สัจจัง โมฆะ มัญญัง)
9. อย่าเพิ่งเชื่อเพียงเพราะอ้างว่า ผู้พูดนั้นดูน่าเชื่อถือ มีภาพลักษณ์ทางสังคมที่ดี มีการยอมรับทั่วไปในระดับสูง หรือเชื่อตามลักษณะอาการที่ปรากฏว่ารูปลักษณ์ที่เกิดขึ้นน่าจะเป็นเช่นนั้น
10. อย่าเพิ่งเชื่อเพียงเพราะอ้างว่า บุคคลผู้นี้คือคุรุ-ครู-อาจารย์-เจ้าสำนัก-เจ้าลัทธิ (teacher) ฟาร์ (facilitator) เมนเทอร์ (mentor) ของเรา (ไม่ว่าจะเป็นนักบวชหรือไม่ใช่นักบวช)
คำว่า "อย่าเพิ่งเชื่อ" มี 2 สภาวะ
(1) อย่าเพิ่งรับว่า "เชื่อ"
(2) อย่าเพิ่งปฏิเสธว่า "ไม่เชื่อ"
อย่าใช้อคติทั้งปวงในการตัดสิน
แต่ให้รับไว้ในฐานะ "สมมติฐาน"
เพื่อพิจารณาด้วยวิจารณญาณ
ในลำดับถัดไป ดังนี้
#Ep2 : ควรเชื่ออย่างมีวิจารณญาณ
เมื่อกาลามสูตรในตอนแรกสอนเราว่า อย่าเพิ่งเชื่อ (ใน 10 ฐานข้อมูล) แล้ว คำถามที่เกิดขึ้นก็คือ แล้วควรมีทีท่าต่อฐานข้อมูลเหล่านี้อย่างไร คำตอบจึงได้แก่ ควรเชื่ออย่างมีวิจารณญาณ โดยสอนให้พิจารณาด้วยวิจารณญาณ ดังนี้
#สิ่งที่ควรรับว่าเชื่อและควรปฏิบัติตาม ได้แก่
1. เป็นกุศลมูล
2. ไม่เบียดเบียน
3. วิญญูชนสรรเสริญ
4. เป็นประโยชน์
5. เป็นสุข
#สิ่งที่ไม่ควรรับว่าเชื่อและไม่ควรปฏิบัติตาม ได้แก่
1. เป็นอกุศลมูล
2. เบียดเบียนให้เกิดโทษ
3. วิญญูชนติเตียน
4. ไม่เป็นประโยชน์
5. เป็นทุกข์
ตอนที่ 2 (Ep.2) ในกาลามสูตรนี้ คือส่วนของ เกณฑ์ตัดสินความจริง (criterion of truth) ในเชิงคุณค่า ซึ่งถือเป็นยอดมงกุฏแห่งพุทธปรัชญา เป็นเพชรน้ำเอกของพุทธศาสนาที่ไม่อิงกับวิทยาศาสตร์ในเชิงมนุษยนิยมที่เน้นแต่เรื่องข้อเท็จจริง (fact) เพียงอย่างเดียว แม้แต่ส่วนจริยธรรม วิทยาศาสตร์ทางจิต/mind (จิตวิทยา) ก็เน้นเฉพาะแต่เรื่องพฤติกรรม (behavior) เพียงอย่างเดียว ไม่ได้ใส่ใจเรื่องคุณค่าทางศีลธรรม (value of moral) เหมือนในกาลามสูตร
คุณค่าที่เกิดขึ้นจากกาลามสูตรนี้ ย่อมให้อานิสงส์แก่ผู้ที่เชื่อและปฏิบัติตามอย่างเป็นเอนกอนันต์ ซึ่งถูกระบุไว้ ในตอนที่ 3 ดังต่อไปนี้
#Ep3 : เชื่ออย่างมีวิจารญาณแล้วดีอย่างไร
คำตอบก็คือ
1. #ถ้านรกสวรรค์มีจริง : คนทำดีก็ได้ไปสวรรค์ไม่ต้องเดือดเนื้อร้อนใจ คนทำชั่วก็ตกนรกวนๆ กันไปจนกว่าจะหมดเวรหมดกรรมที่เคยก่อไว้
2. #ถ้านรกสวรรค์ไม่มีจริง : คนทำดีก็ได้รับความสุขในปัจจุบัน ไม่ต้องเดือดเนื้อร้อนใจหรือหวาดระแวงเหมือนคนที่ทำชั่ว ดังคำว่า "สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ"
3. #ถ้าทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่วเป็นจริง : คนทำดีก็ได้รับวิบากกรรมดี คนทำชั่วก็ได้รับวิบากกรรมชั่ว ตามเหตุตามปัจจัย
4. #ถ้าทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่วไม่เป็นจริง : คนทำดีก็ไม่ได้ขาดทุนตรงไหน คนทำชั่วก็ไม่ได้กำไรเช่นกัน เพราะคนทำดีมีแต่คนยกย่องสรรเสริญ มีคนรักและให้เกียรติ สร้างชื่อเสียงให้กับวงศ์ตระกูล ส่วนคนทำชั่ว จิตใจก็เหมือนตกนรกทั้งเป็น มีแต่ความกลัว กังวล หวาดระแวง เดือดเนื้อร้อนใจ เสี่ยงคุกเสี่ยงตาราง ผู้คนติเตียน สาปแช่ง เป็นผู้ทำให้ตระกูลเสื่อมเสีย ไม่เป็นที่ยอมรับทั่วไปของคนในสังคม
กล่าวโดยสรุปก็คือ ผู้ที่เชื่อและปฏิบัติตามหลักกาลามสูตรจะได้รับประโยชน์สุขในโลกนี้ ถ้าโลกหน้ามีจริงก็จะได้รับความสุขโลกหน้าด้วย ไม่ต้องเดือดเนื้อร้อนใจ ทางนี้เป็นทางแห่งกุศล เป็นทางแห่งสติปัญญา ทางแห่งอริยมรรค-อริยผล เป็นเกณฑ์ค้ำประกันความชอบธรรม (justification) ในทางพุทธจริยศาสตร์ ซึ่งวิทยาศาสตร์ไม่ได้ให้ความใส่ใจในการศึกษาเรื่องนี้
แม้แต่วิทยาศาสตร์ก็ยังต้องถูกตรวจสอบด้วยหลักกาลามสูตรเช่นกัน อยู่ในฐานะ "สมมติฐาน" เหมือนกัน เพราะข้อ 5, 6, 7, 8 เป็นเรื่องของฐานข้อมูลและวิธีการแสวงหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ครอบคลุมถึงการทำวิจัยในทางสังคมศาสตร์ทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ ตลอดจนเชิงปรากฏการณ์วิทยา
หากเจตนาในการทดลองทางวิทยาศาสตร์หรือเจตนาในการใช้เทคโนโลยีเป็นไปด้วยอกุศลจิต กาลามสูตรเองก็สอนว่าไม่ควรรับว่าเชื่อหรือปฏิบัติตามข้อเท็จจริงเหล่านั้น
วิทยาศาสตร์ให้เพียงข้อเท็จจริง
และความสะดวกสบายในชีวิต
แต่ไม่ได้ให้ความจริงในเชิงคุณค่า
ผู้มีวิจารณญาณจงใช้วิทยาศาสตร์
ให้เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขแก่สรรพชีวิต
______________________
อ่านเพิ่มเติมได้จากลิงค์
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=1209377295881772&id=100004285386661
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=1126054420880727&id=100004285386661
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=1126067080879461&id=100004285386661
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=1174859036000265&id=100004285386661
#ขอบคุณผู้ชี้
#ขอบคุณเพื่อนสหธรรมิกชน
#องค์ความรู้นี้เป็นส่วนหนึ่งของดุษฎีนิพนธ์เรื่องเกณฑ์ตัดสินความจริงตามหลักกาลามสูตร:#การศึกษาเชิงวิเคราะห์วิจักษ์และวิธาน