ความรักคืออะไร

ความรัก คือ การปล่อยวาง

 

การปล่อยวาง ไม่ได้หมายถึง

การปล่อยปละละเลย ไม่ใส่ใจ

นั่นมันปล่อยทิ้ง ไม่ใช่ปล่อยวาง

 

นักปฏิบัติตกม้าตายตรงนี้กันเยอะ

คิดว่าตัวเองกิเลสเบาบาง/หมดกิเลส

ได้ด้วยการปล่อยทิ้ง ไม่ต้องสนใจสิ่งรอบตัว

 

แต่ให้สังเกตดูเถิด คนเหล่านี้ต่างเรียกร้องความสนใจจากคนรอบข้างเพื่อต้องการการยอมรับ พูดง่ายๆ ก็คือ เขาไม่สามารถปล่อยวางตัวเองได้จริงๆ

 

การปล่อยวาง ต้องสร้างเหตุ 

เพียงแต่ปล่อยวางผลลัพธ์

ศิโรราบในเหตุปัจจัยที่เกิดขึ้น

 

การปล่อยวางไม่ใช่การยอมรับต่อความเป็นจริง

แต่เป็นการยอมรับในสิ่งที่ควรจะเป็น

ในทางที่ไม่เบียดเบียนกัน

ในทางที่จะเอื้อประโยชน์สุขต่อกัน

เกื้อกูลกัน สงเคราะห์กัน

แต่ใจไม่ได้คาดหวัง 

เพราะเป็นสิ่งที่ใครทำใครได้อยู่แล้ว 

ไม่ต้องเสียเวลาไปทวงให้เสียอารมณ์

 

เริ่มจากการปล่อยวางที่ตนเองเสียก่อน

ปล่อยวางอคติทั้ง 4 ปล่อยวางความคาดหวัง

ปล่อยวางความชิงชัง ความโกรธเกลียด 

คือการให้อภัยกันนั่นเอง

 

การปล่อยวางในที่นี้ จึงได้แก่ 

การปล่อยวางจากอคติทั้งปวง 

อคติเพราะพอใจ 

อคติเพราะไม่พอใจ

อคติเพราะความกลัว 

อคติเพราะไม่รู้สึกตัว 

เมื่อปล่อยวางอคติลงไปได้ 

ความจริง ความงาม ความรัก 

จะปรากฏแก่ใจของผู้ตื่นรู้

 

1. #ความรักจะเริ่มต้นขึ้นเมื่อไหร่

 

ก็เมื่อเธอกำหนดคำว่ารัก 

ลงสู่หัวใจของเธอ

แล้วปล่อยให้ใจของเธอ

เป็นอิสระจากคำว่ารัก

อิสระแม้กระทั่งความรู้สึกว่ารัก

อิสระแม้แต่ความปรารถนาในรัก

เพื่อมาเติมเต็มหัวใจของเธอ

หัวใจของเธอ

จะไม่มีที่สิ้นสุด 

ไม่มีจุดตั้งต้น

ไม่มีเงื่อนไข

ไม่มีประมาณ

ไหลเวียนเป็นอิสระบนความว่าง

อันเป็นแก่นแท้ของความรัก

 

เมื่อใจเธอปล่อยวาง

ความรักจึงเริ่มต้น

 

2. #ปล่อยวางเพื่อฟอกจิตให้ใสสะอาด

 

การปล่อยวางในอคติทั้งปวง 

คือ กระบวนการฟอกจิตให้ใสสะอาด

เพราะตามธรรมชาติของจิตนั้น

จิตจะเรียนรู้ตัวมันเอง

โดยที่ไม่มีเราเข้าไปเกี่ยวข้อง

ธรรมชาติจะเรียนรู้ธรรมชาติ

ในทุกๆ วัน ในขณะที่เราใช้ชีวิต

แต่เพราะเราอยากเข้าไปควบคุม

ไปครอบงำจิตด้วย "อคติ" ของเรา

จิตจึงไม่สามารถเรียนรู้ตัวมันเอง

ได้ตามธรรมชาติ

อคติเป็นเหตุให้เราใช้ความพอใจ

ความไม่พอใจ ความกลัวกังวล

ความอยากให้ได้ดั่งใจ ความคาดหวัง

ไปกดดัน จับจ้อง ตัดสิน ควบคุมจิต

ให้เป็นไปในอำนาจของเรา

ในแผนการที่เราวางไว้อยู่ตลอดเวลา

 

หากปล่อยวางอคติลงได้

》อคติเพราะพอใจ : ไหลตามสิ่งที่ปรารถนา

》อคติเพราะไม่พอใจ : ต่อต้านสิ่งที่ไม่ปรารถนา

》อคติเพราะกลัว : กลัวว่าจะไม่ได้สิ่งที่ปรารถนา

》อคติเพราะหลง : ไม่ยอมรับความเป็นจริงที่เกิดขึ้น

 

ความยึดมั่นในตัวเราจะจางคลาย

การจับจ้อง ตัดสิน ควบคุม ครอบงำ

จะกลายเป็นการปล่อยวาง

 

ความรักจะเกิดขึ้นเมื่อใจไร้อคติ

ความรักจะไหลโฟว์อยู่อย่างนั้นตามธรรมชาติ

ฟอกจิตให้สะอาดและบริสุทธิ์ด้วยความเข้าใจ

ความเข้าใจนี้ เป็นปัญญาว่างรู้

ที่คิดเอาเองไม่ได้ ควบคุมไม่ได้

เป็นธรรมชาติของความว่างจากอคติ

ไหลโฟว์อยู่อย่างนั้นเอง

 

จิตจะเรียนรู้ตัวมันเอง แก้ไขตัวมันเอง

ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอด้วยตัวมันเอง

ฟอกตัวมันเองให้ใสสะอาด

จิตฟอกจิต ธรรมชาติฟอกธรรมชาติ

ด้วยความรักความเข้าใจ

ตัวอัตตาเหมือนสิ่งแปลกปลอมอุดตันเส้นเลือด

ทำให้เลือดลมไม่ไหลโฟว์ตามที่มันควรจะเป็น

ปล่อยวางอัตตา ความยึดมั่นถือมั่นลงได้

ก็ปล่อยวางอคติลงไปได้

 

ธรรมชาติจะฟอกจิตอยู่อย่างนั้น

ฟอกด้วยความจริง (ความเข้าใจ)

ฟอกด้วยความงาม (การยอมรับ/ศิโรราบ)

ฟอกด้วยความรัก (การให้อภัย/การปล่อยวาง)

 

3. #ปล่อยวางแม้แต่คำว่าขอบคุณ

 

ความรักคือการให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน

แม้คำว่า "ขอบคุณ" ก็อย่าได้คาดหวัง

หากเราเชื่ออยู่เสมอว่า

ถ้าจริงใจกับใคร

จะได้รับความจริงใจกลับมา

ถ้าเราดีกับใคร

เขาจะดีตอบกลับมา

แต่โลกแห่งความเป็นจริงจะสอนเราว่า

มันไม่ได้เป็นอย่างนั้นเสมอไป

ความจริงใจมีให้ใครก็ได้ 

แต่ให้แล้วต้องรู้จักปล่อยวางตัวตน 

แม้คำว่า "ขอบคุณ" ก็อย่าได้คาดหวัง

 

การรักใครสักคน

แล้วหวังว่าเขาจะต้องรักเรา

อย่างที่เรารักเขา

การทำดีกับใครสักคน

แล้วหวังว่าเขาจะทำดีกับเรา

อย่างที่เราทำดีกับเขา

สักวัน... 

ธรรมชาติจะสอนให้เรายอมรับ

และศิโรราบลงไปว่า 

สิ่งที่เราคาดหวังนั้น

ล้วนเป็นการหลอกตัวเอง

เพราะอยากให้ได้ดั่งใจเท่านั้น

 

อนึ่ง การที่เขาไม่รัก

และไม่ทำดีอย่างที่เราคาดหวัง

มันก็ไม่ใช่ความผิดของเขา 

แต่มันเป็นบททดสอบของธรรมชาติ

ที่สอนให้เรารักเพื่อนมนุษย์

โดยปราศจากเงื่อนไข 

และทำดีโดยไม่หวังผล 

หรือสร้างเหตุแต่ปล่อยวางผลลัพธ์ 

เพื่อให้พระธรรมชาติได้ทำหน้าที่

ตามเหตุตามปัจจัย

จงไว้ใจธรรมชาติ 

เพราะธรรมชาติยุติธรรมเสมอ

สิ่งที่คิดว่าไม่ได้นั้น 

ธรรมชาติจะชดเชยให้เสมอ

 

4. #การฟอกพลังงานลบให้เป็นรัก

 

ผู้ที่เข้าใจ "สิ่งๆ นั้น"

ย่อมรู้แก่ใจในหน้าที่ของตน

ที่ต้องรักเพื่อนมนุษย์อย่างไร้เงื่อนไข

เสียสละเพื่อสิ่งเหล่านี้อย่างยิ่งยวด

บุคคลเหล่านี้ล้วนกินความทุกข์เป็นอาหาร

ดุจดอกบัวบานที่แทงรากดื่มด่ำกับโคลนตม

พลังงานลบเกิดจากความไม่สมดุลในใจคน

ซึ่งมีอยู่มากมายทั่วโลก

และถูกผลิตอย่างไร้ขีดจำกัด

ผู้ที่เข้าใจในระบบพลังงาน

จะสามารถนำเอาพลังงานลบเหล่านี้

มาฟอกให้ใสสะอาดด้วยพลังแห่งปัญญา

แล้วกลั่นออกมาเป็นพลังงานแห่งความรัก

แบ่งปันให้กับผู้คนรอบข้างอย่างไร้เงื่อนไข

 

ข้าพเจ้าไม่สรรเสริญการหลอกตัวเองด้วยการคิดบวกเกินความเป็นจริง หรือสะกดจิตตัวเองให้ต้อง OK อยู่ตลอดเวลา เพราะเป็นเพียงการประโลมโลกให้พออยู่ได้ไปวันๆ แต่ซุกปัญหาจากการไม่ยอมรับตัวเองไว้เบื้องหลัง ซึ่งสุดท้ายจะสร้างความวิบัติและทำให้ชีวิตไม่สมดุล

 

ข้าพเจ้าสรรเสริญท่านทั้งหลาย

ผู้มีความเข้าใจ ยอมรับ และปล่อยวาง

เพื่อฟอกพลังงานลบให้เป็นพลังงานความรัก

ที่ไหลโฟว์ในระบบพลังงานของขันธ์ 5 

แล้วส่งต่อ แผ่ขยายไปทั่วสรรพสิ่งไม่มีประมาณ 

เสียสละเพื่อผู้อื่นด้วย "โพธิจิต" ที่อยู่ภายใน

ด้วยความรักความเข้าใจ และให้อภัยแก่สรรพชีวิต

 

5. #สิ่งใดยังยึดถือได้สิ่งนั้นไม่ใช่ความรัก

 

มีคนเคยถามข้าพเจ้าว่า...

ที่สุดของความรักคืออะไร?

คำถามนี้ หมายความว่า

ความรักที่บริสุทธิ์คืออะไร?

ข้าพเจ้าตอบไปว่า...

ที่สุดของความรักอันบริสุทธิ์

คือ "การปล่อยวางซึ่งความรัก"

การที่ข้าพเจ้าตอบเช่นนี้ก็เพราะ 

ให้ผู้ถามปล่อยวางความรัก 

(ที่อยู่ในความคิด/ความรู้สึก) 

ลงไปเสีย ไม่ว่ามันจะเป็นความรักในรูปแบบใดก็ตาม 

เพราะสิ่งใดที่ยังยึดถือได้ สิ่งนั้นไม่ใช่ความรัก

 

ธรรมชาติของจิตที่ขาดความรู้สึกตัวจะไหลไปกับกิเลส จึงมีอาการยึดเป็นปกติ ยึดแบบอัตโนมัติ เพราะมันดิ้นหาจุดยืน จุดที่มันรู้สึกปลอดภัย จุดที่ต้องการมีตัวตน อยู่ตลอดเวลา

 

เมื่อใดที่มีความรู้สึกตัว 

และยอมรับว่าตน "ยึด" สิ่งนั้น

ยอมรับถึงขั้น "ศิโรราบ" ลงไปในใจ

จิตจะปล่อยวางความรัก

ที่ยึดถือนั้นลงไปตามธรรมชาติ

รักที่ถูกปล่อยวางนี้คือความพอใจ

ความอยากได้ดั่งใจ ความมีสเป็ก

ความมีเงื่อนไข ความมีมาตรฐาน

ที่ตอบสนองกาม (ความอยาก) ภายใน

ไม่ใช่ความรักที่บริสุทธิ์ 

ไม่ใช่ที่สุดของความรัก

 

นั่นเป็นเพราะ...

สิ่งใดที่ยังยึดถือได้

สิ่งนั้นไม่ใช่ความรัก

 

6. #ความสมบูรณ์แบบแห่งรักคือความไม่สมดุลในใจมนุษย์

 

ความสมบูรณ์แบบแห่งรัก เป็นแค่ model ความคิด

ที่หลอกเรามาหลายภพหลายชาติ มันไม่เคยมีอยู่จริง ยิ่งแสวงหายิ่งไม่สมดุล

 

ความรักไม่ใช่วิสัยของการคิดเพื่อหาความสมบูรณ์แบบ แต่เป็นเรื่องที่ต้องรับรู้และรู้สึกผ่านความว่าง ได้แก่ ความว่างจากอารมณ์ที่เป็นอคติทั้ง 4 คือ ความพอใจ ความไม่พอใจ ความกลัว และความเขลา

 

นั่นเป็นเพราะ...

》ความรักไม่ใช่การวิ่งตามความพอใจ

》ความรักไม่ใช่การวิ่งไปตามความไม่พอใจ

》ความรักไม่ใช่ความกลัวว่าเขาจะไม่รักเรา หรือกลัวว่าเขาจะไม่พอใจเรา

》ความรักตั้งอยู่บนความจริง ถ้าเป็นรักที่ไม่มีพื้นฐานของความจริงรองรับก็เป็นเพียงเรื่องของความหลง

 

อนึ่ง แม้ว่าในใจลึกๆ ของมนุษย์จะต้องการความรักที่มั่นคงแน่วแน่ ความรักที่ไว้ใจได้ ที่ไม่มีวันเสื่อม แต่ปัญหาคือ เราแสวงหาความรักที่เที่ยงแท้ถาวรนั้นในสิ่งที่ไม่เที่ยงแท้ถาวร 

 

ความรักเป็นอนัตตา 

ว่างจากอคติทั้งปวง 

ว่างจากการยึดครองเป็นเจ้าของ 

ว่างจากความสมบูรณ์แบบทางความคิด

 

ความรักเป็นอิสระ

ไม่ขึ้นอยู่กับสิ่งที่อยากจะเป็น

แต่ขึ้นอยู่กับสิ่งที่ควรเป็น

 

ความรักเป็นสิ่งเติมเต็ม

ไม่มองหาในสิ่งที่อยากจะได้รับ

แต่มองหาในสิ่งที่ควรเสียสละ

 

ความรักเป็นหนึ่งเดียว

ไม่เข้าข้างตัวเองหรือใครๆ

แต่ยอมรับและเข้าใจตามความเป็นจริง

 

7. #คิดให้น้อยลงรู้สึกให้มากขึ้น 

 

เมื่อกรงขังความคิดถูกเปิดออก

เธอได้เดินออกมาจากกรงขังนั้น

ความรู้สึกของเธอเบ่งบานสะพรั่ง

ดุจดอกไม้อันงดงามในทุ่งกว้าง

ดุจสายน้ำที่ไหลเย็นชโลมใจ

ความมีชีวิตชีวาได้บังเกิดขึ้นอีกครั้ง

เพราะเธอมีความรู้สึก เพราะเธอมีหัวใจ

เธอได้รับความรักอันบริสุทธิ์ใสสะอาด

ที่กลั่นออกมาจากใจของเธอเอง

เธอได้สัมผัสและโอบกอดมันด้วยรักและมิตรภาพ

ช่องว่างของเธอกับฉันจะไม่มีอีกต่อไป

...ฉันรักเธอ เธอรักฉัน เรารักกัน...

ฉันและเธออยู่ในอ้อมกอดแห่งรักนี้ตลอดไป

------------------------------------

ไขปริศนา ปุจฉา - วิสัชนา

 

#ปุจฉา : 

 

เมื่อมี "ฉัน" มี "เธอ" อยู่ 

แล้วจะพ้นทุกข์ได้อย่างไร

 

#วิสัชนา : 

 

"ฉัน" คือ ผู้เห็น

"เธอ" เป็น สิ่งถูกเห็น 

"ความรัก" คือ การปล่อยวาง

"อ้อมกอดแห่งรัก" คือ สภาวะความว่าง

เมื่ออยู่ในสภาวะความว่าง 

ก็จะเห็น "ทั้งฉันและเธอ" 

(เห็นทั้ง “ผู้รู้” และ “สิ่งถูกรู้”)

ไม่เข้าไปยึดทั้งสองอย่าง

เมื่อไม่ยึดก็ไม่ทุกข์ ดังนี้

 

---------------------------------

 

8. #อะไรบ้างที่ไม่ใช่รัก

 

ความพึงพอใจ ไม่ใช่รัก

ความติดอกติดใจ ไม่ใช่รัก

ความเพลิน (นันทิ) ไม่ใช่รัก

ความพยายามเอาอกเอาใจ ไม่ใช่รัก

ความถูกสเป็ค ตรงจริต ไม่ใช่รัก

ความติดในรูปลักษณ์ ไม่ใช่รัก

ความมีเสน่ห์เย้ายวน ไม่ใช่รัก

ความโหยหา ไม่ใช่รัก

การอยากเอาชนะ ไม่ใช่รัก

ความรู้สึกเหนือกว่า ไม่ใช่รัก

ความรู้สึกต่ำต้อย ไร้ค่า ไม่ใช่รัก

การอยากมีคุณค่า ไม่ใช่รัก

การอยากครอบครอง ไม่ใช่รัก

การติดในความรู้ความสามารถ ไม่ใช่รัก

ความเบื่อหน่าย ไม่ใช่รัก

ความเร่าร้อนในราคะ ไม่ใช่รัก

ความหลงใหล ไม่ใช่รัก

ความใคร่ ความกำหนัด ไม่ใช่รัก

ความตื่นเต้นในเซ็กส์ ไม่ใช่รัก

แรงดึงดูดทางเพศ ไม่ใช่รัก

ความกลัวที่จะเสียเปรียบ ไม่ใช่รัก

ความอยากได้รางวัล ไม่ใช่รัก

ความรู้สึกอกหัก ไม่ใช่รัก

ความยึดติดในรัก ไม่ใช่รัก

การพยายามทำให้เขารัก ไม่ใช่รัก

การล่อลวงให้เขารัก ไม่ใช่รัก

ความไม่อยากให้เปลี่ยนแปลง ไม่ใช่รัก

สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเปลือกนอกของความหลงไม่ใช่รัก 

 

ดังนั้นจึงพอสรุปได้ว่า...

ความรักที่ปราศจากความเข้าใจ

รักให้ตายแค่ไหนก็ไร้ความสุข

ความรักที่ต้องการให้คนอื่นมารัก

รักให้ตายแค่ไหนก็ไร้ความสุข

ความรักที่ต้องการครอบครอง

รักให้ตายแค่ไหนก็ไร้ความสุข

ความรักที่เต็มไปด้วยเงื่อนไขมากมาย

รักให้ตายแค่ไหนก็ไร้ความสุข

แต่หากรักกันด้วยความเข้าใจ

ยอมรับ ให้อภัย และปล่อยวางได้

นั่นคือใจกลางของความสงบสุข

 

สิ่งเหล่านี้คือผลสรุปของความรัก

ที่เกิดขึ้นจากการปล่อยวาง

 

#ขอบคุณผู้ชี้

#ขอบคุณเพื่อนผู้มีธรรมเป็นกัลยาณมิตร

เมธา หริมเทพาธิป ความจริง ความงาม ความรัก ความเป็นหนึ่งเดียว
เขียน 02 ต.ค. 2566 08:20
ปรับแก้ 02 ต.ค. 2566 08:23