กุญแจของ Oneness

ความไม่พอใจในกระแสลบ

ความพอใจในกระแสบวก

ล้วนต้องแลกด้วยราคาที่เหมาะสมกัน

 

กล้าที่จะวิ่งตามความไม่พอใจ

ก็ต้องกล้าเจ็บปวดจากการบีบคั้นทางใจ

และยอมรับความไม่สมดุลที่เกิดขึ้น

 

กล้าที่จะวิ่งตามความพอใจ

ก็ต้องกล้ารับความเจ็บปวดจากคนที่รู้สึกไม่พอใจ และยอมรับกับความไม่สมดุลที่เกิดขึ้น

 

มนุษย์ คือ กาย+ใจ = ขันธ์ 5 

ขันธ์ 5 คือ ระบบพลังงาน (-/+)

ระบบพลังงานอยู่ภายใต้กฎธรรมชาติ

ธรรมชาติยุติธรรมเสมอ

 

เมื่อมี "ความเป็นผู้ให้"

"ความเป็นผู้รับ" ย่อมปรากฏตัวขึ้น

 

เมื่อยึดเอาแต่พลังงานบวก

พลังงานลบจะเบียดเบียนอยู่เสมอ

 

เมื่อยึดเอาแต่พลังงานลบ

พลังงานบวกจะถูกกดทับ

เกิดเป็นวิถีแห่งการเบียดเบียนอยู่เสมอ

 

ระบบการรับส่งทางพลังงานเป็นความจริงที่เราต้องยอมรับ และทำความเข้าใจ

 

ผู้ที่เข้าใจ Oneness ย่อมรู้สึกตัวว่า

การวิ่งตามความพอใจและความไม่พอใจ

การเอาแต่บวกและปฏิเสธลบ

หรือเอาแต่ลบและปฏิเสธบวก

เป็นการไม่ยอมศิโรราบต่อธรรมชาติ

 

จิตของเขาจึงวิ่งหาความมีความเป็นไม่จบสิ้น (1)

 

มีอาการรังเกียจสิ่งที่มีที่เป็นที่ตนไม่ต้องการ อยากผลักดันออกไปจากชีวิต (2)

 

ชีวิตจึงวิ่งไปตามความพอใจ/ไม่พอใจ

เป็นทาสในระบบพลังงาน (-/+)

ไม่สามารถเข้าถึง Oneness ได้จริง

ต้นเหตุเกิดขึ้นมาจาก

การไม่ยอมศิโรราบต่อธรรมชาตินั่นเอง

 

แต่ก็นะ..........

 

#ธรรมชาติยุติธรรมเสมอ

 

#แม้ข้าพเจ้าก็ต้องยอมศิโรราบต่อธรรมชาติ

 

_________________________

.............Oneness.............

เอกภาพบนความหลากหลาย

_________________________

 

ผมเชื่อเรื่องความเป็นหนึ่งเดียว ไม่แยกส่วน เราเกิดมาจากจุดกำเนิดเดียวกัน ทุกคนมีการเชื่อมต่อระหว่างพลังงาน และพลังงานเหล่านี้เชื่อมต่อกับแกนจักรวาล ซึ่งแต่ละคนเรียกแตกต่างกันไปตามมุมมองและชื่อแห่งสมมติบัญญัติ เช่น พระเจ้า, พระธรรมชาติ, พรหมัน, ความว่าง, อากาสา, คุรุ, สิ่งๆ หนึ่ง, เหตุปัจจัย, เขาพระสุเมรุ เป็นต้น

 

การตื่นรู้เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้น ปัญญาเป็นส่วนประกอบ คนเราตื่นรู้ในทุกๆ วัน และเมื่อตื่นแล้วก็ยังตื่นได้อีกไม่รู้จบ

 

แต่จะมี "ผู้ตื่นรู้" สักกี่คน ที่จะยอม connect เชื่อมต่อกันและกันด้วยความรักความเข้าใจ อยู่กันด้วยความรู้รักสามัคคี เพราะสิ่งที่ปรากฏพบเห็นก็คือต่างฝ่ายต่างก็เปิดตัวเป็นเจ้าสำนัก สะสมสานุศิษย์มากมายรอบตัวให้เกิดการยึดติดตัวบุคคล และแยกพวก แยกเหล่า ด้วยทัศนะที่แยกส่วน ราวกับว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกันแต่อย่างใด เกิดเป็นกลุ่มโลกสวย กลุ่มโลกแตก กลุ่มเทพ กลุ่มมาร กลุ่มนิกายสำนักโน้นสำนักนี้ สำนักกู สำนักมึง เมื่อยึดมั่นถือมั่นว่า อิทะ เมวะ สัจจัง โมฆะมัญญัง (ของฉันนี้เท่านั้นจริง ของคนอื่นผิดหมด) ก็เกิดการแบ่งแยก แข่งขัน ไม่ไว้ใจกัน และจ้องทำลายกันในที่สุด

 

ถ้ารู้รักสามัคคีไม่ได้ ไม่ยอมรับในเอกภาพบนความแตกต่าง oneness ก็เกิดขึ้นไม่ได้ เพราะแต่ละฝ่ายล้วน "อยาก" ให้คนอื่นๆ กลุ่มอื่นๆ เป็นไปดั่งใจของตนเอง

 

We are the one คือ เราเป็นหนึ่งเดียวกัน บางคนเป็นแขน บางคนเป็นขา บางคนเป็นหัว ไม่มีใครสำคัญกว่าใคร และขาดใครไปจะรู้สึก เพราะเราเป็นร่างกายเดียวกัน เราไม่อาจมีความสุขได้ในขณะที่คนอื่นในสังคมที่เป็นเพื่อนเรายังทุกข์ยากลำบากอยู่ จะดีจะเลว จะถูกจะผิดก็เพื่อนเรา 

 

วิถีของเพื่อนที่รู้รักสามัคคีเช่นนี้แหละครับคือ Oneness หรือ We are the one หรือ We are the wold แล้วแต่สมมติบัญญัติ 

 

"แม้จะต่างความถี่ แต่ก็อยู่ด้วยกันได้" 

 

สามารถร่วมคิด ร่วมรู้สึก ร่วมทำ ด้วยกันได้

ทำน้อย ทำมาก ไม่ว่ากัน เพราะเราเป็นเพื่อนกัน

แต่ละคนล้วนมีหน้าที่ต่างกัน มีข้อจำกัดต่างกัน

เมื่อรู้และเข้าใจกัน ก็รวมใจกันเป็นหนึ่งได้

 

นี่แหละครับ... เอกภาพบนความหลากหลายของสิ่งมหัศจรรย์ที่เรียกว่า Oneness แท้จริงแล้วมันก็คือ วิถีที่เรียบง่ายและสุดแสนจะธรรมดานี่เอง

 

#ขอมอบให้ทุกดวงจิตวิญญาณอันเก่าแก่

 

#ขอมอบให้บรรดาผู้ตื่นรู้ที่ช่วยกันขับเคลื่อนงานทางจิตวิญญาณ

 

______________________

Oneness ที่ควรสรรเสริญ

#วิถีแห่งศานติ

#วิถีแห่งกัลยาณมิตร

______________________

 

มนุษย์เกิดมามีคลื่นความถี่แตกต่างกัน ความพยายามจูนจิตให้เป็นหนึ่งเดียวกัน ณ ความถี่แบบใดแบบหนึ่ง เพื่อสนองความอยากเป็นหนึ่งเดียวกัน ณ ความถี่เดียวกัน ผมขอเรียก Oneness แบบนี้ว่า "Oneness เชิงเผด็จการ" ใครมีพลังมากกว่าก็จะเป็นผู้กำหนดทิศทางของความถี่ว่าจะไปในทิศทางไหน ส่วนคนที่มีพลังน้อยกว่าต้องวิ่งตามเจ้านายเหมือนไอ้ด่างที่จงรักภักดี

 

Oneness ที่ผมสรรเสริญ 

คือการยอมรับความแตกต่าง

กระแสบวกยอมรับกระแสลบ 

ส่วนกระแสลบก็ยอมรับกระแสบวก 

ไม่ลุแก่อำนาจที่จะเอาให้ได้ดั่งใจ

 

......ของฉันนี้เท่านั้นจริง......

.......ของคนอื่นผิดหมด........

(อิทะ เมวะ สัจจัง โมฆะ มัญญัง)

...........อย่างนี้ไม่ใช่...........

 

อย่างนี้เขาเรียก "เลือกที่รักมักที่ชัง"

ลุแก่อำนาจประหัตประหาร

 

สร้างความชอบธรรมจอมปลอม

เพื่อรักษาความอหังการของตนให้ยังอยู่

 

Oneness ต้องเดินทางสายกลาง 

คำว่า สายกลาง คือ ความไม่ยึดมั่นถือมั่น 

สันติภาพจึงเกิดขึ้น นั่นก็เพราะ...

>>ความยึดมั่นถือมั่น ทำให้เกิด การแบ่งแยก

>>การแบ่งแยก ทำให้เกิด การแข่งขัน

>>การแข่งขัน ทำให้เกิด ความไม่ไว้ใจกัน

>>ความไม่ไว้ใจกัน ทำให้เกิด การทำลายกัน

>>การทำลายกัน ทำให้เกิด สงครามในที่สุด

 

ตรงกันข้าม...

 

♡ ความไม่ยึดมั่นถือมั่น ทำให้เกิด การแบ่งกลุ่ม

♡การแบ่งกลุ่ม ทำให้เกิด การช่วยเหลือกัน

♡การช่วยเหลือกัน ทำให้เกิด ความไว้ใจกัน

♡ความไว้ใจกัน ทำให้เกิด ความรู้รักสามัคคี

♡ความรู้รักสามัคคี ทำให้เกิด สันติภาพ

 

สันติภาพจะเกิดขึ้นต้องยอมรับความแตกต่างที่หลากหลาย จนรวมเป็น "เอกภาพในความหลากหลาย" จะเกิดขึ้นได้ต้องทำให้คนไม่ยึดมั่นถือมั่น... โดยเริ่มต้นที่ตนเองก่อนเลย เพราะไม่มีใครไปนั่งในใจและทำแทนกันได้

 

ผู้ใดตื่นแล้ว เข้าสู่ความว่างได้แล้ว

"ถ้าว่างจริงต้องรองรับสรรพสิ่งได้"

 

เมตตาธรรมต้องจริง ไม่ใช่พูดแต่ปาก

สัจจะพื้นฐานต้องแน่น ไม่ใช่ลิงหลอกเจ้า

มิฉะนั้น ความจริงใจจะหมดไป 

เพราะขาดใจที่บริสุทธิ์

 

Oneness ไม่ได้เกิดขึ้นจากการปรุงแต่งที่ยุ่งยาก ซับซ้อน พิสดาร 

 

แท้จริงเป็นสิ่งง่ายดาย เป็นพื้นฐานของคนธรรมดา/คนปกติก็เข้าถึงได้ แต่คนทุกวันนี้ทำตัวไม่ธรรมดา ชีวิตจึงยุ่งยากขึ้น จากสิ่งง่ายจึงกลายเป็นสิ่งยาก

 

Oneness คือวิถีของธรรมชาติที่ไหลเวียนอยู่อย่างนั้นเป็นปกติ มันไหลลื่นไม่ติดขัด ไม่ต้องสร้างจุดยืน จุดพักให้กับมัน ไม่ต้องปรุงแต่งมันให้เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ไปตามจินตนาการ พลังงานมันไหลโฟว์อยู่อย่างนั้นเป็นตถตา 

 

เป็นเอกภาพบนความแตกต่าง

เป็นเอกภาพในความหลากหลาย

ที่คนหลากหลายความถี่มาอยู่ร่วมกันได้

ลงประชุมกันด้วยความว่างที่โอบอุ้มสรรพสิ่ง

ด้วยพลังแห่งศานติ พลังแห่ง Oneness

พลังแห่งเพื่อนกัลยาณมิตร

 

🌸🌸🌸🌸🌼🌸🌸🌸🌸

เมธา หริมเทพาธิป ความจริง ความงาม ความรัก ความเป็นหนึ่งเดียว
เขียน 04 ต.ค. 2566 13:54
ปรับแก้ 04 ต.ค. 2566 13:54