สมดุลของผู้สร้างและผู้ทำลาย: ความอิ่มเอมที่แผ่ซ่านไปทั่ว

สำหรับผมคำว่า”ตื่นรู้” เป็นคำภาษาใช้เรียกสภาวะที่เรามีประสบการณ์รับรู้ว่า เราคือสภาวะ ที่เป็น / อยู่ / ตามความเป็นไปของสภาวะขณะนั้นๆ ที่กระทบต่อเรา ในสัมผัสรับรู้ด้านต่างๆ ของเรา แยกแยะได้ มองเห็นความเป็นไปตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ที่คงอยู่ และที่หายไป จากการรับรู้ และไม่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของการรับรู้เหล่านั้น

การตื่นขึ้นของสภาวะที่ทำให้เรารู้ว่า ทั้งหมดที่ปรากฏขึ้นไม่ว่าจะเป็นตอนเราหลับหรือตื่น คือโลกแห่งการรับรู้ จะนำพาเราไม่ให้ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของการรับรู้นั้น และนั่นย่อมให้อิสระแก่เราในการเป็นอยู่อย่างสงบ ปิติ เบิกบาน เห็นความเชื่อมโยงทั้งในภาพของมิติที่ใหญ่และย่อยเล็กของการเกิดขึ้นของสิ่งต่างๆ การเป็นไป และการสลายไป อย่างที่เป็นจริง เห็นได้จริง เราจะมีปฎิสัมพันธ์กับสิ่งที่เข้ามาในชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อเกิดเหตุเข้ามากระทบไม่ว่าจะต่อกาย ต่อจิตใจ เราจะไม่ได้รับผลจากการกระทบ เราจะรับรู้การเกิดขึ้นและความเป็นไปเท่าที่เป็น ในแบบที่เป็น ตามที่เป็น และหายไปตามที่หายไป เราจะมีความรู้สึกที่ดีต่อทุกการกระทำที่เกิดขึ้น ต่อทุกขณะที่ทุกอย่างดำเนินไป เมื่อมีความพึงพอใจในตนเองอย่างเต็มที่แล้ว จะเห็นเหตุก่อให้เกิดเป้าหมายสร้างสรรค์ผลลัพธ์ที่มีคุณค่าต่อตนเองและผู้อื่นขึ้นตามลำดับ สามารถสร้างสรรค์ผลลัพธ์ตามเป้าหมายให้เกิดขึ้นได้จริงตามเจตนาที่ตั้งไว้ และดึงดูดให้ผู้อื่นเห็นจริงตามได้

สภาวะการตื่นรู้จึงมีคุณค่าต่อบุคคล สังคม และสิ่งแวดล้อมเป็นอันมาก เพราะมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตบนโลกแทบจะเพียงชนิดเดียวที่มีความสามารถสร้างสรรค์สิ่งใหม่ที่แตกต่างในชั่วหนึ่งชีวิต ให้เปลี่ยนแปลงไปได้อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในบรรพบุรุษ ทั้งยังสามารถทำลายล้าง เพื่อให้เกิดการสร้างใหม่ขึ้น หรือเพื่อช่วยเหลือ เพิ่มคุณค่าให้ชีวิตอื่น เพื่อให้เกิดความสมดุลต่อการคงอยู่ได้ โดยพื้นฐานเดิมแท้ของธรรมชาติมนุษย์ทุกคนในฐานะสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศน์แห่งชีวิตในธรรมชาติ ล้วนมีเป้าหมายที่จะปกป้องตัวเอง ปกป้องสิ่งที่ผูกพัน และเกื้อกูลต่อสิ่งมีชีวิตอื่นอื่นเพื่อให้เกิดสมดุลของการคงอยู่ของเผ่าพันธุ์

สมดุลของการกระทำทั้งสองด้านนี้จะถูกกระทำในทิศทางใด “สร้างสรรค์”หรือ”ทำลายล้าง” ขึ้นกับว่ามนุษย์ผู้นั้นหลงอยู่ในอารมณ์ หลงยึดในความจริงที่รับรู้ในโลกของตนเองแค่ไหน หรือรับรู้ความจริงแท้ที่สิ่งต่างๆ เห็นเหตุที่กำลังเป็นไปในมิติที่กว้าง และก่อผลเชื่อมโยงได้แค่ไหน หากเห็นได้ว่าเหตุแห่งการคงอยู่ของตนเองคือทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องทั้งหมดโดยรวมทั้งที่ใกล้และไกลจนรับรู้ไม่ได้ เขาก็จะเกื้อกูลและปกป้องเหตุเหล่านั้นเช่นกันกับปกป้องตัวเอง(เพราะเห็นแล้วว่าคือสิ่งเดียวกัน) หากเห็นแค่ว่าเหตุแห่งการคงอยู่ของตนเองคือเพราะตนเอง เขาก็จะเกื้อกูลและปกป้องเพียงเพื่อตนเอง และพร้อมจะทำลายสิ่งที่มากระทบความมั่นคงของการคงอยู่ของตนเองนั้น

เมื่อเราไม่ได้ตกอยู่กับอิทธิพลของการรับรู้ หรือถูกกระตุ้นทางอารมณ์ เมื่อเราเห็นถึงความเชื่อมโยงของเหตุปัจจัยของการเกิดขึ้น คงอยู่ และเสื่อมไปของสิ่งต่างๆ อย่างแท้จริง เช่นระบบสังคม เศรษฐกิจ การเมืองการปกครอง ไลฟ์สไตล์ ระบบเงินตรา การศึกษา เกษตรกรรม อารยธรรม ชีวิต และอีกมากมาย เมื่อนั้นสภาวะปรกติของความเป็นไปตามธรรมชาติ ความมีชีวิตชีวา สภาวะอันสงบ ปิติ อิ่มเอม ก็จะปรากฎขึ้นต่อเรา ส่งผลต่อความรู้สึกทางร่างกาย ไม่ใช่เพียงความรู้ที่เกิดขึ้นในสมอง เป็นปฎิกริยาทางเคมีที่เกิดขึ้นทางกายภาพ จากการรับรู้ความเชื่อมโยงที่เป็นไปเป็นหนึ่งเดียวกับสภาวะโดยรอบ มีความรู้สึกแผ่ซ่านอิ่มเอมในกาย มีการรับรู้สิ่งต่างๆ ที่มากระทบชัดเจน และเห็นถึงที่มา ความรู้สึกนั้นกลายเป็นความพึงพอใจในชีวิตที่ปิติ อิ่มเอม เป็นพื้นฐานที่เป็นธรรมชาติของชีวิต เช่นเดียวกับสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ในโลกนี้

BeingCreator I'm just a designer who want to change the world I live
เขียน 10 ต.ค. 2566 20:08
ปรับแก้ 10 ต.ค. 2566 20:08