เส้นทาง 3 สายสู่การตื่น

เมื่อพิจารณาสิ่งที่ผ่านมา เหตุการณ์ การกระทำ ผู้คน พ่อแม่ พี่น้อง ญาติ เพื่อน ศัตรู และคนอื่นๆ ล้วนมีบทบาทในเส้นทางชีวิตเราทั้งหมด ในการเรียนรู้ เข้าใจ และคลี่คลายสู่สภาวะที่เปลี่ยนไปของโลกแห่งการรับรู้ เส้นทางของการเปลี่ยนแปลงสภาวะการรับรู้ทั้งหมดทั้งร่างกาย ทั้งวิญญาณ(ใจ) ทั้งจิต เมื่อลองพิจารณาผมเห็นว่าเส้นทางสู่การเปลี่ยนแปลงของสภาวะการรับรู้แบ่งเป็นสามส่วนหลักๆ ที่สำคัญ(สามารถดำเนินไปได้พร้อมกัน) คือ

 

1) เส้นทางการเข้าใจกลไกที่เกิดขึ้นในตนเอง(มีสติรู้) เข้าใจเหตุที่มาของความคิด ของอารมณ์ ของความรู้สึกต่างๆ เห็นผลอันเกิดจากเหตุที่สัมพันธ์กัน ฝึกที่จะปล่อยวางเหตุและเห็นผลที่อารมณ์ดับลง ความคิดต่างๆ ดับลง สามารถกลับไปคลี่คลายต้นเหตุต่างๆ ของสิ่งที่ค้างคาในใจตนเอง ซึ่งก็คือเหตุการณ์ต่างๆ ที่ผ่านมาในชีวิตแล้วเราติดค้าง ติดอยู่ในจิตในใจ ความแค้นเคือง ความกลัว หรือความกังวล เมื่อสามารถทำให้เหตุที่ค้างคาเหล่านั้นสมบูรณ์หมดไป อารมณ์ความคิดที่เคยถูกกระตุ้นจากเหตุเหล่านั้นก็สังเกตได้ว่าดับลงด้วย ด้วยการฝึกฝนในด้านนี้เราจะสามารถสลายอารมณ์ที่เกิดเมื่อมีสิ่งมากระทบได้ถาวร เมื่อสามารถขจัดเหตุที่ค้างคาใจไปได้ระดับใหญ่ๆ ของชีวิต ก็ปรากฏเกิดพื้นที่สงบทางความคิด ใจและจิตมากขึ้นเป็นลำดับ

เส้นทางนี้เมื่อปฎิบัติไปจะเกิดสภาวะที่สงบนิ่งเมื่อเวลาไม่มีอะไรมากระทบ โปร่งโล่งสบาย ไม่มีความคิดลอยๆ ที่ทำให้ทุกข์เศร้า อึดอัด และเมื่อมีสิ่งมากระทบจุดที่ยังติดค้าง ที่ยังเคลียไม่ได้ก็จะเกิดอารมณ์ความรู้สึกขึ้นมา ต้องกดข่ม ต้องปล่อยวางอยู่เนืองๆ เมื่อมีเหตุมากระทบ ต้องเฝ้าดูจนความรู้สึกเหล่านั้นหายไป จะเป็นเช่นนี้จนกว่าจะคลี่คลายเหตุการณ์ต้นกำเนิดที่ฝังในจิตอันเป็นแหล่งกำเนิดความคิดและอารมณ์เหล่านั้นได้สมบูรณ์ สภาวะบนเส้นทางนี้จะดำเนินแบบนี้เรื่อยไป สุขบ้างทุกข์บ้าง สงบบ้างบนเส้นทางนี้ ตามแต่การวางตัววางใจไว้ให้ห่างไกลจากสิ่งที่มากระทบที่ยังติดค้าง เพราะจะมีเหตุการณ์มากมายที่ติดค้างอยู่ในตัวเราทั้งกาย ใจ และจิตเดิมที่เรานึกไม่ออก จำไม่ได้(ในความจำของสมองที่เราเข้าถึงได้) ว่าทำไมเราถึงอึดอัด เศร้าหรือโมโห กับสิ่งที่มากระทบแบบนี้ ทำได้คือจับให้ทันและปล่อยวางให้หายไปโดยเร็ว

 

2) เส้นทางการฝึกฝนพลังที่ไหลเวียนภายในกาย ด้วยการปรับสภาพการใช้ชีวิต อาหารการกิน การอยู่ การนอนหลับพักผ่อน การออกกำลังกาย เพื่อกระตุ้นระบบโครงสร้างของพลังงาน(พลังชีวิต) ภายในร่างกาย สร้างภาวะสมดุลของพลังชีวิตและการขับสารพิษในร่างกาย ให้มีการไหลเวียนของพลังงานและแร่ธาตุอย่างสมดุล ร่างกายเรานี้เป็นพื้นที่อาศัยขนาดมหึมา เป็นโลกทั้งใบของสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก(โลกของจุลินทรีย์) และสื่อสารเชื่อมโยงกับระบบประสาทการรับรู้ของร่างกาย หากเกิดความไม่สมดุลของพลังงานและสภาวะภายในร่างกาย เหล่าชีวิตเล็กๆ ก็จะเกิดความผิดปรกติและจะทำให้ฮอร์โมนต่างๆ ในร่างกายผิดปรกติ มีผลทั้งร่างกายเกิดโรคต่าๆง ความดัน เบาหวน ไขมันผิดปรกติ ระดับฮอโมนที่ควบคุมความสุขเปลี่ยนไป เกิดความเครียด โกรธ ซึมเศร้า และหลากหลายความแปลปรวนที่เกิดขึ้นทางอารมณ์และร่างกาย ความสมดุลมีสุขภาวะที่ดีจะทำให้ร่างกายและใจเรานิ่งขึ้น มีความสุขมากขึ้น

เมื่อมีความรบกวนทางอารมณ์น้อย สภาวะการรับรู้ภายในจะนิ่งขึ้นและชัดขึ้น สามารถที่จะฝึกการรับรู้ของระบบการรับรู้ของร่างกาย ใจ(วิญญาณ)และจิต ที่มีอยู่อีกหลายอย่างให้แข็งแรงชัดเจนขึ้น สิ่งมีชีวิตรวมถึงมนุษย์มีระบบการรับรู้ทางธรรมชาติเพื่อการเชื่อมโยงกับสิ่งแวดล้อมเพื่อการดำเนินชีวิต ไม่ใช่แค่เพียง รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เรารับรู้การเคลื่อนที่ รับรู้ความร้อนหนาว(ไม่ใช่อุณหภูมิสูงต่ำที่รับรู้จากผิวหนัง) รับรู้ภาพจากข้อมูลที่บันทึกไว้ในตัวเรา(จินตนาการ) รับรู้เสียงที่เกิดขึ้นภายในร่างกายและเสียงบันทึกไว้ และที่ประมวลวิเคราะห์สิ่งที่บันทึกไว้(เสียงที่เราได้ยินในหัว) รับรู้การเปลี่ยนแปลงของแรงโน้มถ่วง(เช่นเวลาตกจากที่สูง) รับรู้การเอียงของร่างกาย(เพื่อการรักษาสมดุล) รับรู้ความรู้สึกผู้อื่นๆ รับรู้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ารอบตัวที่เปลี่ยนแปลง และอื่นๆ ซึ่งเป็นการรับรู้ของสิ่งมีชีวิตที่ดำรงเป็นปรกติในธรรมชาติเดิมของโลก การรับรับหลายๆ ส่วน(ส่วนมากที่เรามี) ไม่เคยถูกใช้ ถูกสนใจ หรือถูกฝึกฝนให้เข้มแข็ง ให้ชัดเจน ให้สามารถใช้ประโยน์ได้ มนุษย์ในสังคมเมืองยุคปัจจุบัน สนใจการรับรู้เพียงตา หู จมูก ปาก สัมผัสผิวหนัง และเพ่งสนใจเพียงข้อมูลที่มาจากการรับรู้เหล่านี้จนเคยชิน

เราอาจจะไม่คุ้นกับภาษาและความหมายที่จะใช้แยกแยะการรับรู้ที่ไม่เคยชินเหล่านี้ ไม่เคยเรียนรู้ ไม่เคยฝึกฝนที่จะเข้าใจ เพราะในสังคมมนุษย์ปัจจุบันชี้นำให้การรับรู้ทางธรรมชาติหลายอย่างเป็นสิ่งที่ ไม่จำเป็นเพราะเราไม่ได้ใช้ชีวิตในธรรมชาติอย่างแต่ก่อน ถูกห้อมล้อมด้วยสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นซึ่งการมีปฏิสัมพันธ์นั้นใช้เพียง ตา หู จมูก ปาก กาย แต่ธรรมชาติไม่เคยออกแบบอะไรมาโดยไม่มีประโยชน์ การรับรู้สิ่งที่เป็นไปในธรรมชาติที่ไม่ใช่รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส อันมีมวลของสสารกำกับ การรับรู้ด้วยการสื่อสารผ่านช่องทางความถี่ของคลื่นสั่นสะเทือนในสิ่งแวดล้อม (คลื่นความถี่เสียงที่เกินหูได้ยิน คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า คลื่นแสงที่ตามองไม่เห็น ฯลฯ) มีผลกับการสั่งงานของอารมณ์ ความคิด และการกำกับความรู้สึกต่างๆ ในตัวเรา ถ้าเราตั้งใจฝึกการรับรู้เหล่านี้เป็นระยะเวลาหนึ่ง การรับรู้เหล่านี้ก็จะฟื้นตัวและกลับมามีประสิทธิภาพได้ เป็นสัมผัสรับรู้ต่อสิ่งที่มีอยู่ เป็นอยู่ในสภาพแวดล้อมปัจจุบันได้คมชัดขึ้น  

กระบวนการการปรับสมดุลของร่างกายและการฝึกฝนการรับรู้นี้ใช้เวลา และต้องปรับตารางการใช้ชีวิตทั้ง 24 ชม.ตลอด 7 วัน การกินอาหารที่มีพลังชีวิตที่ดี ไม่รับสารพิษ สารเคมีเข้าไปในรางกายที่จะทำให้ประสาทการรับรู้ที่ละเอียดเหล่านี้ด้อยลง ดูแลโลกของจุลินทรีย์ภายในร่างกายเราให้ดี ให้สมดุลอย่างสมบูรณ์ ด้วยการทานพืชในธรรมชาติให้หลากหลาย(มากกว่า 30 ชนิดต่อสัปดาห์) รับจุลินทรีย์เข้าสู่ร่างกายในรูปแบบต่างๆ เช่น หายใจในพื้นที่ป่าธรรมชาติ เดินเท้าเปล่าบนดิน ทานอาหารหมักดอง ทานพืชที่ปลูกโดยไม่ใช้สารเคมีในดินที่ไม่มีสารเคมีและมีระบบนิเวศน์ที่สมบูรณ์

หมั่นกำจัดของเสียสารเคมีที่สะสมในร่างกาย ดื่มน้ำที่เป็นธรรมชาติให้เพียงพอ ออกกำลังกายกลางแจ้งรับคลื่นพลังงานจากดวงอาทิตย์เพื่อกระตุ้นระบบไหลเวียนทั้งร่างกาย อยู่ในธรรมชาติที่ๆ มีคลื่นพลังงานตามธรรมชาติที่แข็งแรง ตากแดด อยู่ใกล้ต้นไม้ใหญ่ ติดดิน ติดแหล่งน้ำไหลในธรรมชาติ จัดบ้านให้มีการไหลเวียนของอากาศ แสง สนามแม่เหล็กโลกในธรรมชาติได้สะดวก และจัดการทำงานและกิจกรรมในชีวิตที่ต้องปรับให้สอดคล้องเหมาะสมกับการใช้ชีวิตตามการเป็นไปของธรรมชาติที่เราอาศัยอยู่ทั้งหมด(ทั้งหารกินและการนอน) ตามจังหวะของกลางวันและกลางคืน และฤดูกาลของปี พักผ่อนให้เพียงพอในเวลาที่เหมาะสมในการซ่อมแซมและขจัดของเสียในร่างกาย กระตุ้นระบบการทำงานของร่างกาย กระตุ้นการรับรู้ทุกส่วนทุกวันผ่านกิจกรรมประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกายที่ทำซ้ำต่อเนื่องและต้องรับรู้มากกว่าประสาทสัมผัส ตา หู จมูก ปาก ผิวหนัง ฝึกการรับรู้ความรู้สึกทางใจให้สัมพันธ์กับการสั่งร่างกายเช่นการเล่นดนตรี การพูดกับผู้อื่นโดยรับรู้โลกของผู้ฟังไปด้วย การทำงานที่ต้องใช้มือและร่างกาย ฝึกสมาธิ มีสติและกระตุ้นประสาทการรับรู้ที่ละเอียด

เหล่านี้เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายตื่น รับรู้และแข็งแรงขึ้น มีประสาทรับรู้สมบูรณ์ขึ้นในทุกๆ ส่วน มีพลังชีวิตที่สมบูรณ์แข็งแรง ฝึกที่จะเป็นนายของการรับรู้คือสามารถที่รับรู้ และรู้สึกตัว เคลื่อนไปด้วยก็ได้ รับรู้เฉยๆก็ได้ ไม่รับรู้(ปิดหรือเปลี่ยนช่องการรับรู้)ก็ได้ เพื่อควบคุมใช้งานการรับรู้ต่างๆ ในตัวเองแทนที่จะหลงเข้าไปและติดอยู่ในนั้น

 

3) เส้นทางการเรียนรู้เพื่อที่เข้าใจสภาวะต่างๆ ที่รับรู้ ในมิติด้านต่างๆ เห็นและเข้าใจความหมายของสิ่งที่เกิดขึ้นและที่เป็นไป ที่ผ่านเข้ามา ที่อยู่โดยรอบ ที่เชื่อมโยงไกลออกไป ฝึกความสมดุลของการรับรู้ระหว่างทางกายภาพและทางที่ไม่มีกายภาพ เห็นความเชื่อมโยง ความสัมพันธ์ ทดลองกระทำตามที่รับรู้เหตุปัจจัยอย่างมีศรัทธา แล้วสังเกตผลที่เกิดขึ้น ทั้งภายในตัวเอง และผู้อื่น พิจารณาภาพเสียงและความรู้สึกภายในต่างๆ ที่ปรากฏขึ้นในการรับรู้ขณะมีสมาธิ ทำความเข้าใจสิ่งที่ปรากฏขึ้นในมิติการรับรู้ต่างๆ เข้าใจความหมาย ความเชื่อมโยงและที่มา นำมาสู่การกระทำทาง กาย วาจา ใจ เพื่อเรียนรู้ เพื่อที่จะนำมาใช้ประโยชน์จากการรับรู้ต่อตนเองและผู้อื่น เกิดความปรารถนาในการกระทำและการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ที่มีคุณค่าต่อตนเองและผู้อื่นตามที่เห็นจริง

 

เส้นทางทั้งสามนี้ไม่มีกำหนด ไม่มีเป้าหมาย ไม่สามารถที่จะคิดวางแผนการพัฒนาและสิ้นสุด เพียงทำตามกระบวนการที่ 1 2 และ 3ไปเรื่อยๆ อย่างมีศรัทธาต่อตัวเองและธรรมชาติรอบตัว สังเกตความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับตัวเองและผู้อื่น รับรู้และทดลองใช้ประโยชน์กับสิ่งต่างๆ ที่ต้องทำอยู่แล้วในชีวิตให้ได้ผลที่แตกต่างในคุณค่าต่อตนเองและผู้อื่น ต่อสิ่งแวดล้อมในระดับที่สูงขึ้นเรื่อยๆ สิ่งสำคัญที่ต้องมีคือ ผู้ชี้นำแนวทาง กัลยาณมิตร คู่คิด คู่ชีวิต ที่จะร่วมแบ่งปัน สะท้อน รับฟังสิ่งที่เกิดขึ้น ที่เปลี่ยนแปลง มีความรักในตนเองและผู้อื่นจากส่วนที่ลึกที่สุดของใจ นั่นคือจิต

ในเส้นทางนี้จะเกิดการเปลี่ยนแปลงในตนเองเรื่อยๆ ค่อยๆ สังเกตเห็น สะท้อน เล่าเรื่องให้ผู้อื่นเห็น รับฟังผู้อื่น เปรียบเทียบจากบันทึกผู้อื่น ตั้งข้อสังเกต คำถาม และศึกษาอยู่เสมอๆ ถึงอารมณ์ที่เคยเกิดขึ้นเมื่อมีสิ่งหนึ่งมากระทบว่า มันเกิดเหมือนอยู่ห่างออกไปไกลๆ เรื่อยๆ จนเหมือนไม่ปรากฎ เกิดการรับรู้สภาวะรอบๆ ตัวเปลี่ยนไป มีความปิติอิ่มเอมในสภาวะรอบตัว เป็นสุขตลอดเวลาในความสงบที่รับรู้ความเป็นไป รับรู้สภาวะสุขทุกข์ของผู้คนโดยรอบชัดเจน มองเห็นเหตุความเชื่อมโยงที่กว้าง ที่ใหญ่ ที่ลึกขึ้น เริ่มเห็นได้ว่าปิติของเราและทุกข์ของผู้อื่นนั้นก็เหมือนๆ กัน เป็นสภาวะการรับรู้ เป็นผลกระทบของสภาพแวดล้อมที่เกิดขึ้น กับการรับรู้ได้เท่านั้น เห็นชัดเจนจนรับรู้ว่าการเป็นอยู่คือสภาวะการรับรู้ นั้นคือทั้งหมดเป็นเพียงการรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นเพียงเท่านั้น และเห็นได้ว่าทุกสิ่งปรากฏขึ้นในมิติของการรับรู้เท่านั้น นอกไปจากการรับรู้นั้นคือความเป็นที่ไม่มีสภาวะ ไม่มีการรับรู้ คือพื้นที่ของความไม่มีการรับรู้ใดๆ และเป็นพื้นที่ของปรากฏการ ก่อเกิดสภาวะการรับรู้ขึ้นและสลายหายไป คือธรรมชาติเดิมแท้ของทุกสิ่ง

รายละเอียดบนเส้นทางที่เกิดขึ้นมีมากมายคงพอได้รับทราบจากครูบาอาจารย์ และหลายต่อหลายท่านในโลกนี้ที่แบ่งปันสอนและแนะนำผู้คน เหล่านั้นคือสภาวะที่ค่อยๆ พัฒนาขึ้น สามารถสังเกตเห็นได้และเรียนรู้ที่จะอยู่กับสภาวะที่ปรากฎขึ้นในแต่ละลำดับได้ นำมาใช้ประโยชน์ให้เกิดคุณค่าต่อตนเองและผู้อื่นได้

ทั้ง 3 เส้นทางจะประสานเชื่อมโยงส่งผลเกื้อหนุนกันอย่างสมดุล ไม่หนักด้านใด ไม่เบาด้านใด การเดินไปบนเส้นทางคือเดินไป “อย่างไม่หย่อนและไม่อยาก” และเชื่อมทั้งชีวิตเข้ากับเส้นทางทั้งในยามตื่นและในยามหลับ

BeingCreator I'm just a designer who want to change the world I live
เขียน 10 ต.ค. 2566 20:10
ปรับแก้ 10 ต.ค. 2566 20:11